EGCO เดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration ส่วนขยาย จ.ระยอง กำลังผลิตสุทธิ 74 เมกะวัตต์ ทดแทนโรงไฟฟ้า SPP เดิมที่สิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าทำให้รับรู้รายได้ทันที ชูเทคโนโลยีใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานลดการใช้ก๊าซฯ ลง 15% และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) เปิดเผยว่า โรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration ส่วนขยาย จ.ระยอง กำลังผลิตสุทธิ 74 เมกะวัตต์ (MW) ทดแทนโรงไฟฟ้า SPP เดิมที่สิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ได้เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้สามารถรับรู้รายได้ทันทีหลังจากเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าแห่งใหม่นี้บริษัทถือหุ้น 80% และ J-Power Holdings (Thailand) Co., Ltd. ถือหุ้น 20% โดยโรงไฟฟ้านี้ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่สามารถลดปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติต่อหน่วยลง 15% จากที่ใช้ในโรงไฟฟ้าเดิม ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการดำเนินงานและการเติบโตของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าของประเทศ
โรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration ส่วนขยายสร้างขึ้นเพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม เป็นโรงไฟฟ้าประเภท Cogeneration ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมระยอง ตำบลมาบข่า อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ.ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทดแทน (SPP Replacement) จำนวน 28 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 25 ปี และจำหน่ายไฟฟ้าส่วนที่เหลือและไอน้ำจากกระบวนการผลิตให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมระยองและพื้นที่ใกล้เคียง
ทำให้ EGCO มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,996 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,440 เมกะวัตต์ (คิดเป็นสัดส่วน 21% ของกำลังผลิตทั้งหมด)
“ความสำเร็จในการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration ส่วนขยาย เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของ EGCO Group ที่มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย ภายใต้ทิศทางการดำเนินธุรกิจ “Cleaner, Smarter, and Stronger to Drive Sustainable Growth” รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศ” นายเทพรัตน์กล่าว