xs
xsm
sm
md
lg

ปี 2567 ได้เวลา รื้อ ลด ปลด สร้าง โครงสร้างกิจการไฟฟ้าอย่างเป็นธรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สิ่งที่ประชาชนผู้ใช้พลังงานควรรับรู้ในการทบทวนค่าไฟฟ้ารอบล่าสุด รัฐบาลเลือกที่จะไม่ตรึงค่าไฟในงวดม.ค.-เม.ย. 2567 ให้อยู่ในระดับเดิมที่เฉลี่ย 3.99 บาท/หน่วย แต่ก็ยังเลือกที่จะอุดหนุนค่าไฟฟ้าบางส่วน โดยกำหนดโจทย์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาโดยให้ค่าไฟเพิ่มขึ้นได้แต่ไม่เกิน 4.20 บาท/หน่วย ส่งผลให้ล่าสุดคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศทบทวนค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) และประกาศเรียกเก็บค่าไฟเฉลี่ยเป็นรอบที่สองที่ 4.18 บาท/หน่วย

การประกาศค่าไฟฟ้างวดเดือนม.ค.- เม.ย. 2567 ณ โครงสร้างพลังงานในปัจจุบัน ก็ยังคงเป็นการขายไฟฟ้าต่ำกว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้า เป็นค่าไฟที่มีความเสี่ยงท่ามกลางภาวะความผันผวนของราคาพลังงานในตลาดโลกอันเนื่องมาจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ทั้งจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และสงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ที่ส่อแววขยายวงไปสู่ สหรัฐ-อิหร่าน ตามมา และยังเป็นช่วงฤดูร้อนที่มีความต้องการไฟฟ้าสูงสุด

ในช่วงปี 2565-2566 การอุดหนุนราคาพลังงานโดยใช้กลไกของรัฐไม่ว่าจะเป็นมาตรการภาษีลดภาษีสรรพสามิต การอุดหนุนกลไกราคาโดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระค่าเชื้อเพลิง โดย ณ สิ้นปี 2566 ส่งผลให้กองทุนน้ำมันติดลบกว่า 150,000 ล้านบาท และภาระทางการเงินของ กฟผ.เพิ่มขึ้นกว่า 150,000 ล้านบาท เป็นหนี้ค่าก๊าซค้างชำระอีก 8,000 - 9,000 ล้าน ภาระทั้งหมดเกิดขึ้นจากรัฐบาลก่อนหน้าและรัฐบาลชุดปัจจุบัน

การเข้ามาตรึงค่าเอฟทีไว้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา โดยให้ กฟผ. รับภาระค่าเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้นตลอดปี 2565 จนถึงปลายปี กฟผ. รับภาระค่าเอฟทีไว้ถึง 150,268 ล้านบาท

ในช่วงปี 2566 เป็นช่วงขาขึ้นของค่าเอฟที ซึ่งสะท้อนจากราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่กลางปี 2565 เป็นต้นมา รัฐบาลได้เข้ามาตรึงค่าเอฟทีไม่ให้สูงขึ้นมาก โดย

งวดเดือน มค.-เมย. 66 ได้ตรึงค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใประเภทบ้านอยู่อาศัยไว้ที่ 4.72 บาท/หน่วย ส่วนผู้ใช้ไฟประเภทอื่น ๆ ได้แก่ กิจการขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ โรงแรม อุตสาหกรรมการค้าและเกษตรกร ปรับค่าไฟฟ้าสูงขึ้นมาที่ 5.24 บาท/หน่วย

ค่าเอฟทีงวดเดือน พค.-สค. 66 รัฐบาลได้ตรึงค่าเอฟทีไว้ที่ 91.19 สต./หน่วย รวมค่าไฟฟ้าฐาน 3.78 ค่าไฟฟ้ารวมอยู่ที่ 4.70 บาท/หน่วย

และในช่วงเดือน กย.-ธค. 66 รัฐบาลได้ตรึงราคาเอฟทีไว้ที่ 20.48 สต/หน่วย ค่าไฟรวมอยู่ที่ 3.99 บาท/หน่วย ทำให้เงินสะสม (AF) ที่ กฟผ. รับภาระไว้ยังไม่ได้ใช้คืน คงติดลบอยู่ที่ 95,777 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็ให้ ปตท. ช่วยรับภาระราคาก๊าซธรรมชาติไว้อีก 8,000-9,000 ล้านบาท

ค่าเอฟทีงวด มค.-เมย. 67 วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้ประกาศค่าเอฟทีงวดเดือน มค.- เมย. 67 อยู่ที่ 89.55 สต./หน่วย รวมค่าไฟฐาน 3.78 บาท/หน่วย ค่าไฟรวมอยู่ที่ 4.68 บาท/หน่วย โดยได้คืนค่า AF แก่ กฟผ. จำนวน 15,963 ล้านบาท เหลือ AF สะสม 79,814 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวว่า ค่าเอฟทีไม่ควรสูงกว่า 4.20 บาท โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางแก้ไขด่วน

แม้ว่าจะมีเสียงตอบรับที่ดีจากหลายฝ่าย “ค่าไฟถูกใครก็ชอบ” แต่ในทางวิชาการแล้ว หลายคนก็มองว่า “เสี่ยง” การแก้ไขปัญหาดังกล่าวมิได้เป็นการแก้ไขเชิงโครงสร้างของไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ที่เป็นการแก้ไขระยะยาวและมีความยั่งยืน แต่เป็นการติดหนี้ ยืมเงินในอนาคตมาใช้ ซึ่งสุดท้ายแล้วประชาชนต้องมาใช้หนี้ด้วยตนเอง นอกจากนี้การกำหนดราคาพลังงานให้ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนใม่ประหยัดพลังงานอีกด้วย 
อย่างไรก็ตาม การประกาศค่าไฟงวดม.ค.-เม.ย. 2567 แม้ว่ารัฐบาลจะอ้างว่า ทำอย่างเต็มที่ แต่ด้วยโครงสร้างแบบเดิมหากไม่มีการรื้อ ลด ปลด สร้าง ก็ไม่สามารถจะลดค่าไฟได้มากกว่านี้ จึงใช้วิธีการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้บางส่วน และใช้การอุดหนุนบางส่วน หลายๆมาตรการในรอบนี้ได้มาช่วยปรับค่าเอฟทีลง ประกอบด้วย การปรับราคาก๊าซธรรมชาติเข้าและออกจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติเป็นราคา Pool Gas ยกเว้นก๊าซธรรมชาตืที่นำไปใช้ในการผลิตก๊าซปิโตรเลี่ยมเหลว (LPG) การปรับปรุงราคา Spot LNG ใหม่ การเรียกเก็บ Shortfall จาก ปตท. จำนวน 4,300 ล้านบาท กรณีผู้ผลิตก๊าซในอ่าวไทยไม่สามารถส่งมอบก๊าซได้ตามเงื่อนไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งให้ กฟผ. รับภาระเงินคงค้างแทนประชาชน จำนวน 15,963 ล้านบาท ทำให้เอฟทีงวดใหม่ลดลงจาก 98.55 สตางค์ต่อหน่วยเหลือ 39.72 สตางค์ต่อหน่วย แต่ปัจจัยสำคัญคือแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งเป็นต้นทุนต่ำในการผลิตไฟฟ้า หากยังไม่เร่งรัดการผลิตก๊าซได้ตามเป้าหมาย 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเพื่อป้อนให้โรงไฟฟ้าได้ ค่าไฟก็น่าจะอยู่ในระดับ 4.20 -4.40 ตลอดปี 2567

ความท้าทายการปรับโครงสร้างพลังงานในระยะยาว
ประเทศไทยยังตกอยู่ในกับดักของการอุดหนุนราคาพลังงานให้ต่ำกว่าต้นทุนมานาน โครงสร้างพลังงานไม่ได้ถูกปรับอย่างเป็นระบบ และส่งเสริมมีการแข่งขันเพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในระยาว ในช่วงปี 2567 ยังมีงานใหญ่ค้างรอรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานรวมทั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มาขับเคลื่อนในเชิงกำหนดนโยบายและการปรับแผนโครงสร้างพลังงานของประเทศในระยะยาว ให้มีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) และสอดคล้องกับเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาวของประเทศ ตามนโยบาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emission ซึ่งแผนดังกล่าวได้ล่าช้ากว่า 2 ปีแล้ว ได้แก่ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศฉบับใหม่ (PDP 2023) ระหว่างปี 2566-2580 ซึ่งเป็นแผนพลังงานทางด้านไฟฟ้าที่มีทิศทางสอดรับกับข้อตกลงที่ประเทศมุ่งสู่พลังงานสะอาด ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) พร้อมสร้างความมั่นคงทางพลังงานอย่างยั่งยืน 
รวมทั้งจัดทำแผนพลังงานชาติ 2023 (National Energy Plan 2023) เพื่อให้เห็นภาพรวมพลังงานทั้งประเทศ โดยรวมทั้ง 5 แผนไว้ด้วยกัน ประกอบด้วย (1). แผน PDP 2023 (2). แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) (3). แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP) (4). แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan) และ (5). แผนบริหารจัดการนั้นเชื้อเพลิง (Oil Plan)

นอกจากนี้ ยังมีงานปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ใน ช่วงปี 2564-2568 ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบันใช้มาตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งไม่สะท้อนกับโครงสร้างการผลิตและการใช้ไฟฟ้าในปัจจุบัน รวมทั้งการขับเคลื่อนนโยบายการเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมให้มีการแข่งขันในธุรกิจก๊าซธรรมชาติซึ่งได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2558 แล้ว แต่ยังมีก้าวหน้าไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ซึ่งจะต้องขับเคลื่อนต่อไปพร้อมๆ กับการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าซึ่งเป็นระบบรวมศูนย์แบบ Enhanced Singer Buying (ESB) เป็นระบบที่ใช้มาเกือบ 20 ปีแล้ว ไม่สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) และการแปลงนวัตกรรมทางเทคโนยีด้านพลังงานอันรวดเร็วของโลกในยุคปัจจุบัน

ทั้งหมดที่หยิบยกมาให้พิจารณาก็เพื่อจะบอกว่า หากต้องการให้ภาคพลังงานไทยไปต่อได้ อย่างมั่นคง เป็นธรรม ยั่งยืน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานประกาศไว้ ก็คงต้องอาศัยความจริงใจในการ การรื้อ ลด ปลด สร้าง อย่างเป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายด้วย เพื่อจะได้นำไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริงไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกวิจารณ์ว่า ลูบหน้า ปะจมูก ด้วย




กำลังโหลดความคิดเห็น