xs
xsm
sm
md
lg

“พิมพ์ภัทรา” ดันอุตฯ ไทยสู่ความยั่งยืน มุ่งอุตฯ เป้าหมายรับโลกเปลี่ยน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กระทรวงอุตสาหกรรมเผยแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมไทยมุ่งเน้นความยั่งยืน ภายใต้ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งในด้านเทคโนโลยี สภาพภูมิอากาศ และการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ พร้อมกำหนดนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมไทยใน 4 มิติ เน้นอุตสาหกรรมที่จะเป็นอนาคตของประเทศ

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
เปิดเผยในงาน “The Journey of Sustainable Partnership 2024” ถึงทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ภายใต้ความท้าทายและโอกาส พร้อมแสดงปาฐกถาพิเศษ “ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยกับ “พิมพ์ภัทรา” ว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความซับซ้อนมากขึ้น ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สงครามในยูเครน และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทยเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสู่ความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญต่อการสร้างความสำเร็จอย่างสมดุลใน 4 มิติ ทั้งด้านความสามารถในการแข่งขัน การได้รับการยอมรับจากชุมชนและสังคม การตอบโจทย์กติกาสากลด้านสิ่งแวดล้อม และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สำหรับนโยบายที่สำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย เน้นอุตสาหกรรมที่จะเป็นอนาคตของประเทศ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ อุตสาหกรรมชีวภาพ โดยเร่งพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการในประเทศเพื่อยกระดับการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาค พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน Value Chain ของโลก รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในอุตสาหกรรมเหล่านี้

ขณะเดียวกันก็จะพัฒนาอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพสู่อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ โดยนำมาตรฐานผลิตภาพ และนวัตกรรม (SPRING) มาเป็นเครื่องมือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ รวมถึงส่งเสริมอุตสาหกรรมที่สนับสนุนอุตสาหกรรมศักยภาพและเชื่อมโยงกับภาคบริการ เช่น อุตสาหกรรมรีไซเคิล อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมก่อสร้างที่มีนวัตกรรม (Innovative Construction) รวมถึงการผลักดันอุตสาหกรรม Soft Power ที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยเป็นเครื่องยนต์สร้างการเติบโตและรายได้ให้แก่ประเทศ รวมทั้งพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษในพื้นที่อุตสาหกรรมให้เข้มงวดขึ้น ควบคู่กับการปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหามลพิษทางน้ำ อากาศ และกากของเสีย และมาตรฐานความปลอดภัยในการประกอบการต่างๆ ผลักดันมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อสนับสนุนการผลิตและผลิตภัณฑ์รักษาสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล เพื่อให้การบริการ การขออนุมัติอนุญาต และการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พร้อมให้บริการในรูปแบบ One Stop Service ที่สามารถเข้าถึงและใช้งานง่าย มีความโปร่งใส เพื่อลดอุปสรรคและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชน

นอกจากนี้ ยังส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพให้มีความเข้มแข็งและอยู่รอดได้ ภายใต้สถานการณ์ความเสี่ยงต่างๆ ด้วยการสนับสนุนองค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยี เตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่อ่อนไหวสูงที่ต้องมีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกันระหว่างภาคเกษตรกรรมกับภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรอื่นๆ ให้มีประสิทธิภาพ

“กระทรวงฯ ให้ความสำคัญต่อโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน (ชุมพร-ระนอง) (Landbridge) ซึ่งเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่จะสร้างโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ให้ประเทศไทย โดยจะช่วยเชื่อมโยงทางกายภาพระหว่างภาคใต้ของประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาค รวมถึงประเทศจีนตอนใต้ เป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งจะช่วยลดเวลา และระยะทางการขนส่งจากเดิม ทำให้ประหยัดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มศักยภาพทางการค้าของประเทศไทยกับกลุ่มประเทศที่อยู่ทางด้านมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก และรองรับและส่งเสริมโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยกระทรวงฯ พร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเชื่อมั่นว่าหากทุกฝ่ายร่วมกันบูรณาการการทำงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ประเทศไทยจะมีศักยภาพรองรับการลงทุนมากขึ้นในอนาคต” นางสาวพิมพ์ภัทรากล่าว


นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บอร์ด กนอ.)กล่าวว่า กนอ.ตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนภาคเอกชนต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในปี2567 กนอ.จึงกำหนดแผนฟื้นฟูการลงทุน โดยลดบทบาทการเป็น regulator มาเป็น facilitator ที่มุ่งเน้นอำนวยความสะดวกและสนับสนุนผู้ประกอบการในทุกด้าน
เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน โดยแผนฟื้นฟูการลงทุนของ กนอ.ประกอบด้วย
1. การพัฒนาพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่เชิงพาณิชย์ใหม่ๆ ให้พร้อมรับการลงทุน 2. ส่งเสริมการลงทุน โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาดเพื่อดึงดูดนักลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงจัดหาแหล่งเงินทุนและสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ 3. พัฒนาผู้ประกอบการด้วยการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากลและ 4. สร้างความยั่งยืนโดยเน้นพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน ซึ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นหลัก

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)กล่าวว่า ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรมถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญของ กนอ. ที่ผ่านมาทุกฝ่ายให้ความร่วมมือในการบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรม บริหารจัดการสถานประกอบการให้อยู่ในมาตรฐานของ กนอ. รวมถึงสร้างแรงงานที่มีศักยภาพ ไปจนถึงการสร้างห่วงโซ่อุปทานให้กับหลายกลุ่มอุตสาหกรรมของประเทศ ซึ่งนำไปสู่การสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งงานในวันนี้ (15 ม.ค. 67) ถือเป็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ ทิศทางการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมของประเทศ รวมถึงการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลต่อการผลักดันนโยบายของรัฐบาลไปสู่ความเจริญเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อไป
    สำหรับ ปี 2566 ที่ผ่านมาถือเป็นปีที่มียอดการเช่าพื้นที่นิคมฯ กนอ. สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (Record High) อยู่ที่ 117 ไร่ ขณะที่มียอดขายและเช่าพื้นที่นิคมฯ รวมทั้งหมดอยู่ที่ 6,096 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 202% และมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 2,500 ไร่ดังนั้นในปี 2567 กนอ. ตั้งเป้าเบื้องต้นว่ายอดขายและเช่านิคมฯ อยู่ที่ 3,000 ไร่ ส่วนยอดเช่านิคมฯ ของกนอ. อยู่ที่ 120 ไร่  

“The Journey of Sustainable Partnership 2024” มีผู้เข้าร่วมประมาณ 100 คน ประกอบด้วย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม (น.ส.ศิรินันท์ ศิริพานิช) ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย) ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (นายณัฐพล รังสิตพล) เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (น.ส.ไพลิน เทียนสุวรรณ) ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (นายยุทธศักดิ์ สุภสร) นายกสมาคม นิคมอุตสาหกรรมไทยและพันธมิตร(นางอัญชลี ชวนิชย์) ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน
กำลังโหลดความคิดเห็น