การขับเคลื่อนสู่พลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจใหม่ของกลุ่ม ปตท.เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน และรับมือความท้าทายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้มีการอัดฉีดเงินลงทุนเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ Life Science ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV Value Chain) ระบบกักเก็บพลังงานหรือแบตเตอรี่ รวมทั้งพลังงานหมุนเวียน โดยในปีนี้จะเริ่มรับรู้รายได้ทยอยกลับมาให้เห็น
ขณะที่เม็ดเงินลงทุนของ บมจ.ปตท.และ 6 บริษัท Flagship ในปีนี้รวมประมาณ 330,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ลงทุนในโครงการต่อเนื่องที่ได้รับการอนุมัติแล้ว โดยมีบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. วางงบลงทุนในปีนี้ไว้สูงถึง 6,721ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 230,194 ล้านบาท มากที่สุดในกลุ่ม ปตท.คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของงบลงทุนรวมในปีนี้ของกลุ่ม ปตท. รองลงมาคือ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ตั้งงบลงทุน 809 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 26,905 ล้านบาท บมจ.ปตท.(PTT) 26,283 ล้านบาท บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ก็มีงบลงทุนอยู่ที่ 23,186 ล้านบาท
ด้าน บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) กำหนดงบลงทุนปี 2567 อยู่ที่ 16,000 ล้านบาท บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) มีงบลงทุน 6,000 ล้านบาท ส่วน บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) อยู่ระหว่างการกำหนดตัวเลขงบลงทุนใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยวางงบลงทุนอยู่ที่ 262 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 8,713 ล้านบาท
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติงบลงทุน 5 ปีนี้ (2567-2571) ของ ปตท.และบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้น 100% อยู่ที่ 89,203 ล้านบาท หากแบ่งตามประเภทธุรกิจหลัก ปตท.จะใช้ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ 30,636 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของงบลงทุนทั้งหมด ธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ 14,934 ล้านบาท คิดเป็น 17% ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย 3,022 ล้านบาท คิดเป็น 4% ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานและสำนักงานใหญ่ 12,789 ล้านบาท คิดเป็น 14% การลงทุนในบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้นร้อยละ 100 อยู่ที่ 27,822 ล้านบาท คิดเป็น 31%
ซึ่งการลงทุนในธุรกิจหลัก (Core Business) ของ ปตท.เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7 เพื่อทดแทนโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 1 และโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 8 รวมทั้งโครงการท่อส่งก๊าซฯ บางปะกง-โรงไฟฟ้าพระนครใต้ และโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5 ขณะเดียวกัน เพื่อให้สอดคล้องเป้าหมายวิสัยทัศน์ “Powering life with future energy and beyond” ปตท.มีการลงทุนในธุรกิจใหม่ผ่านบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้นร้อยละ 100 เช่น โครงการลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร เช่น โครงการ EVme ซึ่งให้บริการด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อการใช้รถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท ฮอริษอนพลัส จำกัด โรงงานประกอบแบตเตอรี่โดยใช้เทคโนโลยี Cell- To- Pack (CTP) รวมถึงโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เป็นต้น
นอกจากนี้ ปตท.ได้ตั้งงบลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างหาโอกาสลงทุนในอนาคต(Provisional Capital Expenditure) ช่วง 5 ปีนี้อีก 106,932 ล้านบาท เพื่อรองรับในช่วงการเปลี่ยนผ่านพลังงาน อาทิ การขยายการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นพลังงานเปลี่ยนผ่าน (Transition Fuel) โดยมุ่งเน้นการขยายโครงข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และการขยายการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลวอย่างครบวงจร (LNG Value Chain) ทั้งในและต่างประเทศ การขยายการลงทุนของธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ธุรกิจพลังงานสะอาดเพื่อไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ รวมถึงการลงทุนในธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ (Life Science) ทั้งธุรกิจยา ธุรกิจโภชนาการและอุปกรณ์ และการวินิจฉัยทางการแพทย์ ธุรกิจ AI&Robotics ตลอดจนการลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์ และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงระบบเครือข่ายขนส่งทั้งหมดของประเทศ
อย่างไรก็ดี งบลงทุน 5 ปีของ ปตท. หากแบ่งเป็นรายปี พบว่าในปี 2567 ปตท.วางงบลงทุนไว้ที่ 26,283 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขงบลงทุนที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ตั้งงบลงทุนสูงถึง 93,598 ล้านบาท โดยในปีที่แล้ว งบลงทุนส่วนใหญ่ใช้ในบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้นร้อยละ 100 สูงถึง 73,779 ล้านบาท เช่น การร่วมลงทุนของบริษัทพีทีทีแอลเอ็นจี จำกัด ในโครงการ LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2 และการร่วมลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรโดยหลักจากโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของบริษัท ฮอริษอนพลัส จำกัด และโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในประเทศไทยของบริษัท อรุณพลัส จำกัด เป็นต้น
ส่วนปี 2568 ปตท.ตั้งงบลงทุนอยู่ที่ 34,298 ล้านบาท ปี 2569 งบลงทุน 12,307 ล้านบาท ปี 2570 งบลงทุน 11,317 ล้านบาท และปี 2571 งบลงทุน 4,998 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานปตท.ในปี 2567 ยอมรับว่ายังเป็นปีที่เหนื่อย การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางและมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2566 ขณะที่ปัจจัยลบทั้งอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยยังกดดันเศรษฐกิจอยู่ เศรษฐกิจจีนยังชะลอตัวต่อเนื่องจากปัญหาหนี้สินภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีแม้ว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวบ้าง แต่ยังเผชิญกำลังการผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาดโลกแม้ว่าจะมีปริมาณเริ่มลดลงบ้างก็ตาม ดังนั้น ธุรกิจที่จะสร้างรายได้และกำไรให้ ปตท. ในปี 2567 ยังคงมาจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ของ ปตท.สผ. เนื่องจากราคาน้ำมันยังมีทิศทางที่ดีอยู่และปีนี้มีกำลังการผลิตก๊าซฯ ในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นจากแหล่ง G1/61 (เอราวัณ) ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วันนับตั้งแต่เมษายน 2567 ตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) รวมทั้งธุรกิจใหม่ อาทิ ธุรกิจยาของอินโนบิก (เอเซีย) จะสร้างกำไรเข้า ปตท.ใกล้เคียงปีที่แล้วที่ระดับ 1,200 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในปีนี้ ปตท.เริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของฮอริษอน พลัส และโรงงานประกอบแบตเตอรี่ของเอ็นวี โกชั่นเข้ามา แม้ว่าระยะเริ่มต้นจะไม่มาก แต่เชื่อว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี ซึ่งปตท.ตั้งเป้าหมายในปี 2573 ธุรกิจใหม่จะสร้างกำไรให้ ปตท.ไม่ต่ำกว่า 30%
ปตท.สผ.ทุ่ม 2.3 แสนล้านลงทุนทั้งใน-ตปท.
ทั้งนี้ ปตท.สผ.ได้จัดสรรงบประมาณในปี 2567 อยู่ที่ 6,721 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 230,194 ล้านบาท เพื่อรองรับการเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ, ปลาทอง, สตูล และฟูนาน) โครงการ G2/61 (แหล่งบงกช) โครงการอาทิตย์ โครงการเอส 1 โครงการคอนแทรกต์ 4 โครงการในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย รวมถึงการพัฒนาโครงการในต่างประเทศเพื่อผลิตให้ได้ตามแผน เช่น แหล่งลัง เลอบาห์ ในโครงการมาเลเซีย เอสเค 410 บี โครงการโมซัมบิก แอเรีย 1, การลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต เช่น การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CCS ซึ่งปีนี้ ปตท.สผ.ตั้งเป้าหมายปริมาณขายปิโตรเลียมอยู่ที่ 510,000 บาร์เรล/วัน โตขึ้น 9%
ส่วนงบการลงทุน 5 ปี (2567-2571) ปตท.สผ.ได้จัดสรรงบประมาณรวม 32,575 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,083,376 ล้านบาท พร้อมทั้งสำรองงบประมาณเพิ่มเติม (Provisional budget) สำหรับปี 2567-2571 อีกจำนวน 2,022 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 67,822 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนนอกชายฝั่ง (Offshore Renewables) ธุรกิจดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS as a Service) ธุรกิจเชื้อเพลิงไฮโดรเจน การต่อยอดเทคโนโลยีที่บริษัทมีอยู่ไปสู่ธุรกิจเชิงพาณิชย์ รวมถึงธุรกิจใหม่อื่นๆ
TOP พร้อมทุ่ม 270 ล้านดอลล์ซื้อหุ้นที่เหลืออีก 0.38% ใน CAP
บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ตั้งงบลงทุนในปีนี้ 809 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 26,905 ล้านบาท ส่วนใหญ่ในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project : CFP) 434 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ TOP มีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นจาก 2.75 แสนบาร์เรล/วัน เพิ่มเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน ส่วนอีก 270 ล้านเหรียญสหรัฐในโครงการโอเลฟินส์ ซึ่งเมื่อปี 2564 TOP ตัดสินใจเข้าไปลงทุนถือหุ้น 15.38% ในบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ประเทศอินโดนีเซีย ใช้เงินลงทุนมูลค่ารวมไม่เกิน 1,183 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 39,116 ล้านบาท เพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจโอเลฟินส์ โดย CAP มีแผนขยายกำลังการผลิตและก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีแห่งที่ 2 เพื่อรองรับปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ที่สูงขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย โดย TOP ได้ชำระค่าหุ้น 15% ใน CAP ไปแล้ว คงเหลือการซื้อหุ้นเพิ่มเติมสัดส่วนอีก 0.38% วงเงินไม่เกิน 270 ล้านเหรียญสหรัฐที่รออยู่
ส่วนวงเงินที่เหลือ 105 ล้านเหรียญสหรัฐ ใช้ในโครงการต่อเนื่องต่างๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
OR อัดฉีด 2.3 หมื่นล้านรักษาผู้นำตลาดน้ำมัน
ด้าน บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) กำหนดงบลงทุนในปี 2567 อยู่ที่ 23,186 ล้านบาทจากงบการลงทุน 5 ปี (2567-2571) รวม 67,396.3 ล้านบาท เน้นลงทุนในธุรกิจหลักเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน (Oil Ecosystem) รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายระบบจัดเก็บและการกระจายผลิตภัณฑ์
งบลงทุนในปี 2567 OR ได้จัดสรรงบในกลุ่มธุรกิจ Lifestyle มากสุดอยู่ที่ 10,144.4 ล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจ Mobility 8,823.6 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจ Innovation & New Business 2,126.2 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจ Global 2,091.2 ล้านบาท โดยชูประเทศกัมพูชาเป็นบ้านหลังที่สองของ OR รองจากไทย ซึ่งในปีนี้ OR อัดฉีดเงินลงทุนในกัมพูชามากถึง 50 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1,700 ล้านบาท เพื่อลงทุนสร้างคลังเก็บก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ขนาด 2,200 ตัน คาดแล้วเสร็จในปี 2568 รองรับการเข้าสู่ตลาด LPG ในกัมพูชา การขยายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ร้านคาเฟ่อเมซอน รวมถึงการดึงร้านค้าปลีกมาเสริมทัพไม่ว่าจะเป็น ทั้งร้านสะดวกซื้อ 7-11 ร้านสะดวกซัก “อ๊อตเทริ วอช แอนด์ ดราย” จากไทยเพื่อมาขยายสาขาในต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน OR ยังได้ตั้งงบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) ใน 5 ปีนี้อีก 15,942.5 ล้านบาท เพื่อการขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ โดยจะเห็นการร่วมลงทุนกับพันธมิตรธุรกิจด้านสุขภาพ และความงาม (Health & Wellness) ภายในไตรมาสแรก ปี 2567
IRPC กำเงินลงทุน 6 พันล้านปีนี้
สำหรับ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ตั้งงบลงทุน 5 ปีนี้ (2567-2571) ไว้ราว 14,000 ล้านบาท ไม่รวมเงินลงทุนสำหรับ Strategic Investment New business, การเข้าซื้อกิจการ (M&A) โดยยอมรับว่าการตัดสินใจลงทุนธุรกิจใหม่หรือแม้แต่การทำ M&A ต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ ป้องกันความเสี่ยงในภาวะเศรษฐกิจชะลอ และสถานการณ์ธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมทั้งความผันผวนของราคาน้ำมันจากความขัดแย้งทางการเมืองในแถบตะวันออกกลางยังยืดเยื้อ
โดยปี 2567 IRPC กำหนดงบลงทุนไว้ที่ 6,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนของโครงการ Ultra Clean Fuel หรือ UCF ที่มีกำหนดเสร็จช่วงต้นปี 2567 รองรับน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5 ที่บังคับใช้ในต้นปีนี้ และการเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร ซึ่งบริษัทฯ วางแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง โดยเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการผลิตและการแข่งขัน ที่ยึดหลักสร้างความแข็งแกร่งต่อยอดจากธุรกิจหลักปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ท่าเรือและอสังหาริมทรัพย์ ขยายการลงทุนไปในกลุ่มธุรกิจใหม่ ด้วยมาตรการควบคุมภายในและสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง
PTTGC ชะลอการลงทุนโครงการใหม่
บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ในปีนี้จะไม่เห็นการลงทุนใหม่หรือการทำ M&A แม้ว่าธุรกิจปิโตรเคมีเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวทั้งผลิตภัณฑ์พาราไซลีน (PX) โพลีเอทิลีน (PE) เว้นโพลีโพรพิลีน (PP) ที่ปีนี้ยังมีทิศทางที่ไม่สู้ดีอยู่ เนื่องจากมีกำลังการผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดค่อนข้างมาก ส่วนธุรกิจการกลั่นในปี 2567 คาดว่าจะยังดีต่อเนื่องจากปีก่อน แม้ว่าค่าการกลั่น (GRM) จะต่ำกว่าปี 2566 แต่เป็นระดับที่สูงอยู่ เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะพิจารณาทบทวนแผนการลงทุนในช่วงกลางปีนี้ หลังจากปี 2564 PTTGC ทุ่ม 148,417 ล้านบาทเทกโอเวอร์ Allnex Holding GmbH (Allnex) ผู้ผลิต Coating Resins ระดับโลก ตามยุทธศาสตร์การมุ่งสู่ธุรกิจกลุ่ม High Value Business (HVB) โดยยอมรับว่าการลงทุนใหม่นับจากนี้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อลดความเสี่ยง ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงหันมาปรับลดหนี้ลง ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ทยอยซื้อคืนหุ้นกู้คืน ขณะเดียวกันในปี 2567 บริษัทมีหนี้ที่ครบกำหนดชำระกว่า 1 หมื่นล้านบาท แต่มีเงินสดในมือราว 4 หมื่นล้านบาทเพียงพอชำระคืนหนี้และลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม PTTGC เคยตั้งงบลงทุนในปีนี้ราว 8,713 ล้านบาท ส่วนหนึ่งใช้ในการขยาย Allnex โดย PTTGC คาดว่าปีนี้ Allnex จะสร้างรายได้และกำไรให้ PTTGC เพิ่มขึ้นหลังจากมีการ Synergy ร่วมกัน และ Allnex หันมาทำตลาดในแถบเอเชียเพิ่มขึ้น ซึ่งมาร์จิ้นธุรกิจ Coating Resins ดีอยู่เมื่อเทียบกับเม็ดพลาสติกทั่วไป
GPSC เร่งขยายพลังงานหมุนเวียนในอินเดีย
บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เป็น Flagship ธุรกิจไฟฟ้าในกลุ่ม ปตท.ที่มีการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านการลงทุนร่วมกับพันธมิตรในอินเดีย ทำให้ ปตท.ปรับเพิ่มเป้าหมายสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในปี 2573 เพิ่มขึ้นจากเดิม 12 กิกะวัตต์ (GW) ขยับเป็น 15 GW โดยมอบหมายให้ GPSC เป็นแกนนำ
ดังนั้น งบลงทุน GPSC ในปี 2567 อยู่ที่ 16,000 ล้านบาทจากงบลงทุน 5 ปีนี้ที่ตั้งไว้ 40,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในการขยายกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนของบริษัท Avaada Energy Private Limited (AEPL) ที่อินเดียและโครงการ
SPP Replacement ทั้งนี้ บริษัทกำหนดเป้าหมาย AEPL มีกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ 11GW ในปี 2569