xs
xsm
sm
md
lg

“จิม ทอมป์สัน” ทอไปให้ไกลกว่า “ผ้าไหม” Beyond Silk

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การตลาด – เปิดกลยุทธ์ “จิม ทอมป์สัน” ราชาไหมไทยระดับโลก ขยับสู่แบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ ระดับโลกของเอเซีย พร้อมขยายสู่ธุรกิจใหม่ๆที่เกี่ยวเนื่องอย่างเต็มตัว ต่อยอดจากแบรนด์ จิม ทอมป์สัน ทั้งบูทิคโฮเต็ล ธุรกิจฟู้ดแอนด์เบฟเวอเรจ เพื่อตอกย้ำ “ก้าวไปไกลกว่าผ้าไหม” Beyond Silk

“จิม ทอมป์สัน” ( Jim Thompson ) ชื่อนี้ แบรนด์นี้ ทุกคนรับรู้กันว่าเป็นชื่อของแบรนด์ผ้าไหมไทยที่มีชื่อเสี่ยงโด่งดังไปทั่วโลก
แต่วันนี้ จิม ทอมป์สัน ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1951 โดยเจมส์ แฮร์ริสัน วิลสัน ทอมป์สัน สถาปนิกและนักธุรกิจชาวอเมริกันที่ชื่นชอบการสะสมศิลปะและโด่งดังในแวดวงสังคมไทย สร้างปรากฎการณ์ครั้งใหม่ นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมาก็ว่าได้ นั่นคือ
การขยับตัวครั้งใหญ่ สู่แบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกแบรนด์แรกจากเอเชีย
 
การขยายตัวครั้งใหญ่ สู่ธุรกิจใหม่ๆอื่นๆ จากธุรกิจหลักเดิมคือ ผ้าไหมไทย (ก่อนหน้านี้ก็มีการขยายตัวบ้างสู่ธุรกิจใหม่ๆ แต่ยังไม่เต็มที่อย่างเป็นทางการเท่ากับที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้)


“แผนธุรกิจของเราผสมผสานการเชิดชูวัฒนธรรมเข้ากับโอบรับความทันสมัยและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ทิศทางการขยายธุรกิจของเราจึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรักษาไว้ซึ่งจิตวิญญาณของผู้ก่อตั้งแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการนำศิลปวัฒนธรรมอันงดงามของเอเชียสู่เวทีโลก เราจะเดินหน้าปั้นแบรนด์สุดไอคอนิกในแบบของ จิม ทอมป์สัน นั่นคือการนำเสนอมรดกอันทรงคุณค่าจากไทยที่เข้าถึงคนทั่วโลก พร้อมไปกับการคิดค้นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน”

เป็นคำกล่าวของ แฟรงก์ แคนเซลโลนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด แบรนด์ จิม ทอมป์สัน ที่ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดและการขยายธุรกิจชัดเจนจากนี้ไป

ทิศทางที่ จิม ทอมป์สัน กำลังจะก้าวไปไกลเกินกว่าผ้าไหม หรือ Beyond Silk เป็นแผนที่มีการวางไว้อย่างชัดเจนและรอบคอบและเป็นลำดับขั้นตอน

โดยเฉพาะ ประเด็นของการปั้นแบรนด์ไปสู่ ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกแบรนด์แรกจากเอเชียนั้น มีนัยอย่างมาก
ปรากฎการณ์หลัก คือ การทุ่มงบประมาณหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเปิดตัว “Jim Thompson Heritage Quarter” โฉมใหม่เป็นที่สุดแห่งแลนด์มาร์กทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว โดดเด่นด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและร่มรื่นดั่งโอเอซิสใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยเกษมสันต์ 2 ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน


โดยไลฟ์สไตล์เดสติเนชันแห่งนี้ ประกอบไปด้วยที่เที่ยวและร้านอาหารมากมายพร้อมตอบสนองทุกความต้องการ ได้แก่ ‘พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน’ บ้านเรือนไทยทรงคุณค่าที่โด่งดังไปทั่วโลก นิทรรศการ ‘Museum About the Man’ บอกเล่าเรื่องราวชีวิตอันน่าทึ่งของจิม ทอมป์สัน นิทรรศการ The Evolving World of Jim Thompson Textiles สำรวจการเดินทางของผืนผ้าและความเป็นมาของลวดลายผ้าอันเป็นเอกลักษณ์ The Iconic Store สโตร์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลายจากแบรนด์

พร้อมโซนอาหารและเครื่องดื่มใหม่ล่าสุดในดีไซน์สุดไอคอนิก ทั้ง ‘ร้านอาหารไทย จิม ทอมป์สัน’ ‘The O.S.S. Bar’ บาร์สุดฮิป ‘The O.S.S. Room’ ห้องชายามบ่าย ‘Jim’s Terrace’ คาเฟ่สไตล์ไทย-ทาปาสริมระเบียงวิวบ้านไทยแสนงดงาม Silk Café คาเฟ่สวยในบรรยากาศร่มรื่น รวมถึง Moonlight Hall ห้องจัดอีเวนต์อเนกประสงค์ที่ตกแต่งอย่างงดงาม โดยสถานที่ทั้งหมดนี้ยังอยู่ใกล้กับ ‘Jim Thompson Art Center’ พื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์เพื่อคนรักศิลปะ

เรียกได้ว่า ไม่ได้เป็นเพียงมิวเซียมและสถานที่ขายผ้าไหมเหมือนอย่างในอดีตเท่านั้น แต่ได้ทำการปรับเปลี่ยนและยกระดับใหม่ การบริการอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลาย เป็นการต่อยอดไปอย่างมีความหมายที่จะนำพาไปสู่การเป็น แบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกแบรนด์แรกจากเอเชียได้อย่างแท้จริง


ทั้งนี้ ไลฟ์สไตล์เดสติเนชันชั้นนำอย่าง Jim Thompson Heritage Quarter โฉมใหม่ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวครบวงจรชื่อดังที่คนไทยและชาวต่างชาติมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย ‘พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน’ ติดโผ 5 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ โดย ‘TripAdvisor Travelers’ Choice Award 2022’ โดยทุก ๆ ปีมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกกว่า 320,000 คน เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาชมความงดงามของพิพิธภัณฑ์มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี

ดังนั้น การเปิด Jim Thompson Thompson Heritage Quarter เต็มรูปแบบนับเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์ในการตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกจากเอเชีย สอดรับกับวิสัยทัศน์ ‘Beyond Silk’

อีกหนึ่งในกลยุทธ์การปั้นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลกของจิม ทอมป์สัน คือ การคอลแลบกับพาร์ทเนอร์ธุรกิจชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น Panpuri Wellness, การบินไทย, ศิลปินร่วมสมัยและดีไซเนอร์ชื่อดังเมืองไทย ยิ่งทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและตอกย้ำภาพลักษณ์ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งเตรียมจับมือกับแบรนด์ระดับโลกเพื่อขยายฐานลูกค้าทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จิม ทอมป์สัน เปิดสโตร์โฉมใหม่ในเมืองท่องเที่ยวมากมาย อาทิ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่

ในส่วนของช่องทางการจำหน่ายหรือสโตร์ของ จิม ทอมป์สัน มีกระจายทั่วโลก โดยมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าผ้าตกแต่งของจิม ทอมป์สัน อยู่ในกว่า 60 ประเทศ รวมถึงได้ก่อตั้งบริษัทในเครือในต่างแดนถึง 2 แห่ง ได้แก่ Jim Thompson US ก่อตั้งขึ้นในปี 2554 และ Jim Thompson UK ก่อตั้งในปี 2558 สำหรับในทวีปอเมริกาเหนือ แบรนด์จิม ทอมป์สันมีโชว์รูมทั้งสิ้น 22 แห่ง นอกจากนี้ในยุโรป ยังมีการจัดจำหน่ายผ้าอยู่ใน 28 ประเทศ


ที่สำคัญ จิม ทอมป์สัน กำลังเดินหน้าขยายธุรกิจผ้าตกแต่งในเอเชียและตะวันออกกลาง อย่างเต็มที่ ทั้งการเปิดสำนักงาน และการเปิดโชว์รูม

ในไทยนี้ ได้จับมือกับ King Power เพื่อเปิดสโตร์ใหม่ในคิงเพาเวอร์ ภูเก็ตและสนามบินดอนเมือง นอกจากนี้ แบรนด์ยังเตรียมยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งด้วยการเปิด ‘ไลฟ์ไตล์สโตร์’ อันกว้างขวางในสไตล์ดูเพล็กซ์ ในเมกะโปรเจ็กต์ระดับโลกอย่าง One Bangkok พื้นที่สโตร์กว่า 500 ตารางเมตร เป็นนิวรีเทลคอนเซ็ปท์ ซึ่งปัจจุบัน จิม ทอมป์สัน มีสโตร์ทั้งสิ้น 25 แห่งในประเทศไทย

นอกเหนือจากธุรกิจแฟชั่นแล้ว จิม ทอมป์สัน เตรียมที่จะขยายธุรกิจอาหารทั้งในไทยและในต่างประเทศอีกหลายแห่ง ซึ่งถือเป็นการต่อยอดมาจากผ้าไหม โดยเตรียมเปิดร้าน จิมทอมป์สัน ภัตตาคารอาหารไทย และ ดิ โอ เอส เอส รูม ในต่างประเทศ
ทั้งนี้ จิม ทอมป์สัน เตรียมเปิดร้าน Jim’s Terrace ที่ One Bangkok และเตรียมขยายสาขา Jim Thompson, A Thai Restaurant x The O.S.S. Bar ในคอนเซ็ปต์ร้านอาหารและบาร์ในภูมิภาคเอเชียเร็ว ๆ นี้

จิม ทอมป์สัน ยังเตรียมพัฒนาเว็บไซต์แยกสำหรับการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ในตลาดสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และฮ่องกง เพื่อเสริมแกร่งยอดขาย อีกด้วย โดยมีโรงงานในไทยจำนวน 3 แห่ง ที่กรุงเทพ ที่พะเยา และที่นครราชสีมา เพื่อเป็นฐานผลิตป้อนทั่วโลก
แฟรงค์ กล่าวด้วยว่า ในปีหน้า จิม ทอมป์สัน จะมุ่งสู่การเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ


“การเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ของ Jim Thompson Heritage Quarter นับเป็นหมุดหมายสำคัญบนเส้นทางสู่การเป็นแบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกแบรนด์แรกของเอเชีย ที่นี่ถือเป็นเดสติเนชันที่มีความสำคัญในเชิงศิลปวัฒนธรรมทั้งยังมอบบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์โลฟ์สไตล์อย่างครบวงจรหรือการมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ก้าวไกลไปกว่าการเป็นแบรนด์ผ้าไหมไทย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแฟชั่น ธุรกิจสินค้าผ้าตกแต่งบ้าน ตลอดจนธุรกิจบริการและร้านอาหาร” แฟรงก์กล่าวย้ำ

ทั้งหมดนี้นับเป็นการสานต่อวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ

ผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่าง เจมส์ แฮร์ริสัน วิลสัน ทอมป์สัน สถาปนิกจากนิวยอร์กที่เคยเป็นทหารประจำสำนักงานด้านยุทธศาสตร์ (Office of Strategic Services -- OSS หรือ CIA ในปัจจุบัน) ผู้หลงใหลศิลปะและผลักดันอุตสาหกรรมผ้าไหมไทยให้ก้าวไกลในเวทีระดับสากล จนได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ราชาไหมไทย’

แฟรงก์ กล่าวว่า แผนธุรกิจในช่วง 3-5 ปีจากนี้ที่ปักหมุดหมายเอาไว้ จะต้องใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.การลงทุนธุรกิจด้านโรงแรมและที่พักอาศัย ในแบรนด์ จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) ซึ่งจะเน้นโรงแรมบูทิคโฮเต็ล โมเดลการลงทุนคาดว่าจะลงทุนร่วมกับผู้สนใจหรืออาจจะเป็นการให้ใช้ไลเซ่นส์ของแบรนด์ มองการลงทุนในไทยก่อน ขณะนี้ก็มีผู้สนใจหลายรายแล้วเช่นกัน ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการระยะยาว

แผนการทำบูทิคโฮเต็ล หากดำเนินการสำเร็จถือเป็นการขยายตัวครั้งสำคัญอีกครั้งของ จิม ทอมป์สัน เลยทีเดียว


2.การขยายธุรกิจทางด้านสินค้าผ้าตกแต่งบ้าน ไม่ว่าจะเป็นผ้าทออันประณีตบรรจง ผ้าที่มีคุณสมบัติเส้นใยพิเศษตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งาน ผ้าตกแต่งผนัง ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ และผ้าปักประเภทต่าง ๆ เพื่อการอยู่อาศัยอันเหนือระดับ ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาและวิจัยตัวผลิตภัณฑ์

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา อีกหนึ่งธุรกิจหลักคือกลุ่มธุรกิจสินค้าผ้าตกแต่งบ้านของจิม ทอมป์สัน นำเสนอผ้าตกแต่งคุณภาพสูงและการออกแบบลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ กระบวนการผลิตขั้นสูงตอบโจทย์การใช้งานหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นผ้าทออันประณีตบรรจง ผ้าที่มีคุณสมบัติเส้นใยพิเศษตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งาน ผ้าตกแต่งผนัง ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ และผ้าปักประเภทต่าง ๆ เพื่อการอยู่อาศัยอันเหนือระดับ มีจำนวนกว่า 35% ของโรงแรมชั้นนำระดับโลกในลิสต์ The World’s 50 Best Hotels เลือกใช้สินค้าผ้าตกแต่งของจิม ทอมป์สัน อาทิ แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ, เดอะ สยาม, โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ, เชอวัล บลังก์ ปารีส, ปาร์ก ไฮแอท ว็องโดม ปารีส, เดอะ ซาวอย ลอนดอน, คาเปลลา สิงคโปร์, ปาร์ก ไฮแอท มิลาน, อามันโซ กรีซ และวันแอนด์โอลี่ แมนดารินา เม็กซิโก โดยจิม ทอมป์สัน มีโชว์รูมสินค้าผ้าตกแต่งบ้านในเมืองใหญ่มากมาย ได้แก่ กรุงเทพฯ ลอนดอน แอตแลนตา นิวยอร์ก และปารีส

3. การขยายจิม ทอมป์สัน คอนเซ็ปต์สโตร์ ซึ่งมีร้านเริ่มแรกที่ถนนสุรวงษ์ เปิดมานานแล้ว จะปรับเปลี่ยนใหม่ให้เป็นนิวคอนเซ็ปท์สโตร์ ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนชั้น 4-5 เรียบร้อยแล้ว เหลือชั้น 1-2-3

นอกจากนั้นก็จะมีการขยายสาขาร้านจิม ทอมป์สัน เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดจับมือกับ King Power เพื่อเปิดสโตร์ใหม่ในคิงเพาเวอร์ ภูเก็ตและสนามบินดอนเมือง รวมทั้งการเปิด ‘ไลฟ์ไตล์สโตร์’ อันกว้างขวางในสไตล์ดูเพล็กซ์ ในเมกะโปรเจ็กต์ระดับโลกอย่าง One Bangkok


ปัจจุบัน จิม ทอมป์สัน มีสโตร์ทั้งสิ้น 25 แห่งในประเทศไทย (แบ่งเป็นแบบฟูงไร้ซ?์ 16 สาขา, แบบทราเวลนรเทล 6 สาขา และ บบเอาทืเบล๋น 3 สายขา) แต่คาดว่าภายใน3-5 ปีจากนี้จะมีสโตร์เพิ่มเป็น 35 แห่งได้ โดยในแต่ละปีมีปริมาณลูกค้ามากกว่า 2 ล้านคน และมีการซื้อเฉลี่ย 7,000 บาทต่อบิล ลูกค้าหลักคือ ไทย จีน ญี่ปุ่น โดยสินค้ายอดนิยมของแบรนด์ ได้แก่ เสื้อผ้าเรดี้ทูแวร์ ผ้าพันคอ กระเป๋า และเครื่องประดับ สัดส่วนยอดขายตามผลิตภัณฑ์คือ เสื้อผ้าผู้หญิง 27% ผ้าพันคอ 22% เสื้อผ้าผู้ชาย 16% และอื่นๆ

ยังมีการทำซีอาร์เอ็มกับฐานลูกค้าที่มีสมาชิกบัตรประมา 70,000 ราย และคาดว่าจะมีครบเป็น 1 แสนรายภายในปีหน้า

4. เรื่องการผลิตทีวีซีรีส์ ประวัติของ จิม ทอมป์สันที่ผ่านมา เนื่องจากยังไม่เคยมีเคยมีการผลิตเรื่องราวชีวประวัติของจิม ทอมป์สัน มาก่อน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการ คาดว่าจะมีประมาณ 50 ตอน ตอนละ 50 นาที
นอกจากนั้นจะยังมีการขยายธุรกิจและบริการใหม่ในร้านจิม ทอมป์สันและนอกร้านนอีกหลากหลาย ซึ่ง แฟรงก์ อธิบายว่า ในปีนี้ บริษัท ได้ใช้งบประมาณ 9% จากรายได้รวม เพื่อนำมาใช้ในการลงทุนต่างๆ ซึ่งมากกว่าภาพรวมของธุรกิจแฟชั่นทั่วไปที่ส่วนใหญ่จะใช้ประมาณ 3%-4% ของรายได้

อย่างไรก็ตามงบประมาณลงทุน 150 ล้านบาทนี้ ไม่นับรวมถึงการขยายธุรกิจในส่วนของโรงแรมแต่อย่างใด ขณะที่ปี2566 นี้วางเป้าหมายที่จะต้องมีการเติบโตด้านยอดขายสูง 50% และสร้างผลกำไรกลับคืนมาให้ได้คาดว่าจะมากกว่ากำไรของสามปีก่อนหน้ารวมกันคือ 2560-2562

การเดินทางมาถึงวันนี้ของ จิม ทอมป์สัน ย่อมเป็นการเดินไปสู่บทใหม่ที่ท้าทายและน่าสนใจยิ่งนัก กับ แบรนด์ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น แบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกจากเอเซีย


กำลังโหลดความคิดเห็น