ผู้จัดการรายวัน 360- ‘นีโอ คอร์ปอเรท’ ได้เวลามูฟออน ยื่นไฟล์ลิ่งเมื่อเดือนต.ค. หวังเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุน 1,000 ล้านบาท สู่แผนขยายกำลังการผลิตตลอด 5 ปีนี้ หลังพบทิศทางตลาด FMCG กลับมาฟื้นตัว มั่นใจปีนี้ยังคงรักษายอดขายให้มีอัตราการเติบโต 2 หลัก หรือไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่ปิดยอดขายไปถึง 8,300.69 ล้านบาท
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO เปิดเผยว่า กว่า 34 ปี ที่นีโอได้เข้าสู่ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ FMCG โดยมีสินค้าอยู่ 8 แบรนด์หลัก ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำของคนไทยที่มีคุณภาพและเอกลักษณ์โดดเด่น แข็งแกร่งและคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ด้วยราคาที่เหมาะสม โดยมีวิสัยทัศน์ “มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค” ส่งมอบนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ช่วยดูแลชีวิตประจำวันของทุกคนให้ได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น
ล่าสุดเมื่อช่วงปลายเดือนต.ค. ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการยื่นไฟล์ลิ่งเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าพาร์หุ้นละ 1 บาท มีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 222 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 222 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 78 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 26% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับวัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้มี 4 ข้อ คือ 1.ขยายกำลังการผลิตสินค้า กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน ซึ่งรวมถึงการขยาย คลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์และระบบบริหารจัดการคลัง 2. เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ 3. ชำระคืนเงินกู้ยืมที่มีกับสถาบันการเงิน และ4. เพื่อลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท
“แผนการเข้าตลาดในครั้งนี้หลักๆ คือ ต้องการเงินทุนหมุนเวียน สำหรับแผนธุรกิจในรอบ 5 ปีนับจากปีนี้ ซึ่งมองไว้ที่ 1,000 ล้านบาท หลักๆ คือการนำไปใช้ในเรื่องของการขยายกำลังการผลิตสินค้า ที่จะมุ่งไปตลาดพรีเมี่ยมมากยิ่งขึ้น”
โดยบริษัทได้วางกลยุทธ์การทำตลาดมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ มีนวัตกรรมโดดเด่นและแตกต่าง ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกช่วงวัยและทุกไลฟ์สไตล์ อีกทั้งมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ ขยายฐานกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ไปยังกลุ่มพรีเมียมแมสและกลุ่มพรีเมียม รักษาลูกค้าปัจจุบันให้กลับมาซื้อซ้ำ และยังมีการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ 16 ประเทศ โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ ประเทศเวียดนาม ประเทศกัมพูชา ประเทศลาว และประเทศเมียนมาร์
ด้านนางปัทมา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการพาณิชย์ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า ทั้งนี้บริษัทต้องการที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ผ่าน 3 แนวทางสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน คือ 1.กลยุทธ์ด้านการตลาด เพิ่มความนิยมของผลิตภัณฑ์และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด นำเสนอนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิม และมุ่งขยายสินค้าในพอร์ตโฟลิโอไปยังกลุ่มสินค้าระดับพรีเมียมแมส และพรีเมียม เพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ และตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้ใกล้กับผู้นำตลาดมากขึ้น
2.กลยุทธ์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง มุ่งพัฒนาการบริหารจัดการวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ลงทุนในระบบบริหารจัดการการจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปคลังสินค้าอัตโนมัติ และบริหารจัดการวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ3.การให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ตลอดจนสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ยังพบว่าอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ FMCG ของไทยมีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากภาวะเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อีกทั้งปัจจัยการก้าวเข้าสู่สังคมเมือง ที่ขยายตัวและเกิดวิถีชีวิตใหม่ด้านสุขอนามัย รวมถึงนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ล้วนส่งผลให้อัตราการอุปโภคขยายตัวเพิ่มขึ้น บวกกับกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่มีการเติบโตสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศและขยายตัวไปสู่ภาคอุตสาหกรรมส่งผลให้อุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น
.
ด้านนางสาวณิศรา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า นอกจากนี้นีโอยังให้ความสำคัญกับการลงทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อปี 2565 มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 412 รายการ ขณะเดียวกันมีแผนที่จะปรับปรุงและขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนและกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังการผลิตรวมทั้งหมดอยู่ที่ 229,296 ตันต่อปี (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566) เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.86% ต่อปี จากเดิมที่ 142,800 ตันต่อปีในปี 2563
อีกทั้งมีการลงทุนในอาคารและระบบคลังจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปอัตโนมัติ เพื่อรองรับแผนการเติบโตในอนาคต โดยปัจจุบันสามารถจัดเก็บสินค้าได้ 35,000 พาเลท และกำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารและระบบคลังสินค้าอัตโนมัติรองรับการจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปประมาณ 10,700 พาเลท โดยคาดว่าสามารถเปิดดำเนินการได้ไตรมาสที่ 4 ปี 2566
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนีโอมีสินค้าอุปโภคครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม รวม 8 แบรนด์ ประกอบด้วย 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน 3 แบรนด์ คือ แบรนด์ไฟน์ไลน์ กับผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม และผลิตภัณฑ์รีดผ้าเรียบ, แบรนด์สมาร์ท กับผลิตภัณฑ์ซักผ้า และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรแอนตี้แบคทีเรีย และแบรนด์โทมิ กับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล 4 แบรนด์ ได้แก่ บีไนซ์, ทรอส, เอเวอร์เซ้นส์ และวีไวต์ และ3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ดีนี่ โดยแบรนด์ดีนี่ และทรอส เป็นอันดับ 1 ในตลาดเซกเม้นท์นั้นๆ ส่วนแบรนด์อื่นๆ ติดอยู่ในระดับท็อป 3 ของตลาดทั้งหมด
ขณะที่รายได้จากการขายรวมของบริษัทในปี 2565 ที่ผ่านมา เติบโต 11.49% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นมูลค่ารวมได้ถึง 8,300.69 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน 3,498.05 ล้านบาท 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก 2,731.49 ล้านบาท และ 3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล 2,071.15 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มียอดขายรวมเติบโตขึ้น 17.87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมียอดขายรวมกว่า 4,572.7 ล้านบาท โดยเชื่อมั่นว่าถึงสิ้นปีนี้ บริษัทจะมียอดขายเติบโต 2 หลัก หรือไม่ต่ำกว่า 10% เช่นปีที่ผ่านๆมา