"มนพร" ลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังตรวจคืบหน้าการพัฒนา ระยะ 3 กทท.เร่งถมทะเล คาดส่งมอบพื้นที่ F1 ให้เอกชนคู่สัญญาในปลายปี 68 พร้อมเดินหน้าจัดซื้อเครื่องมือขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ SRTO เพิ่มขีดรองรับที่ 1 ล้านทีอียู
วันนี้ (2 พ.ย 2566) นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และนายสรพันธ์ คุณากรวงศ์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง
โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปกิจการโครงการพัฒนาต่างๆ ของ ทลฉ. พร้อมทั้งตรวจติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณพื้นที่ท่าเรือและการดำเนินการก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ส่วนที่ 1
โดยความคืบหน้างานจ้างเหมาก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 นั้นผู้รับจ้างฯ ได้ส่งมอบพื้นที่ถมทะเลพื้นที่ 1 และ 2 เรียบร้อยแล้ว สำหรับพื้นที่ถมทะเล พื้นที่ 3 คาดว่าจะส่งมอบภายในเดือนมิถุนายน 2567 และ กทท.สามารถส่งมอบพื้นที่ F1 ของโครงการให้แก่บริษัทเอกชนคู่สัญญาได้ภายในปลายปี 2568
นอกจากนี้ นางมนพรได้เข้าเยี่ยมชมการปฏิบัติงาน ณ ท่าเทียบเรือ D บริษัท ฮัทชิสัน เทอร์มินัล จำกัด และลงพื้นที่ตรวจการปฏิบัติงานของโครงการศูนย์กลางการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ (Single Rail Transfer Operator : SRTO)
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า สำหรับโครงการ SRTO ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 600 ไร่ ระหว่างท่าเทียบเรือชุด B และชุด C พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการขนส่งตู้สินค้าด้วยระบบรางที่ท่าเรือแหลมฉบัง สนับสนุนการขับเคลื่อนการขนส่งหลายรูปแบบทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำอย่างไร้รอยต่อ ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัด ลดมลภาวะ ลดต้นทุนการขนส่ง และพัฒนาระบบโลจิสติกส์โดยรวมของประเทศ
โครงการฯ ดังกล่าวมีวงเงินลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท โดย กทท.เป็นผู้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมือยกขนหลักทั้งหมด และให้ท่าเรือแหลมฉบังดำเนินการจ้างเหมาเอกชนบริหารจัดการตู้สินค้าในโครงการฯ
สำหรับในปีงบประมาณ 2566 มีตู้สินค้าผ่านท่าภายในโครงการ SRTO ทั้งสิ้น 413,000 ทีอียู ตั้งเป้าหมายปีงบประมาณ 2567 ปริมาณตู้เพิ่มขึ้นเป็น 440,000 ทีอียู ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดซื้อเครื่องมือยกขนในโครงการระยะที่ 2 ได้แก่ Rail Mounted Gantry Crane จำนวน 2 คัน และ Rubber Tyred Gantry Crane จำนวน 4 คัน คาดหากแล้วเสร็จปี 2568 จะเพิ่มประสิทธิภาพการรับตู้สินค้าเพิ่มเป็น 1 ล้านทีอียู