มาซาร์สในประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินชั้นนำ ประกาศว่าบริษัทพร้อมให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาแก่ผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาที่อยู่ในประเทศไทย ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภายใต้ประมวลรัษฎากร กรณีมีเงินได้พึงประเมินจากต่างประเทศ การตีความแนวปฏิบัติฉบับใหม่นี้ อยู่ในคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566
ป.161/2566 นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางสำหรับเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรในการตีความมาตรา 41 ของประมวลรัษฎากร ซึ่งกำหนดไว้ว่าบุคคลซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยที่มีแหล่งรายได้จากต่างประเทศ จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเมื่อนำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทย ไม่ว่าเงินได้จากแหล่งต่างประเทศนั้นจะเกิดขึ้นในปีใดก็ตาม การตีความใหม่นี้จะส่งผลต่อเงินได้ที่นำเข้ามาในประเทศไทย และจะต้องเสียภาษี โดยคำสั่งใหม่นี้จะเริ่มใช้บังคับกับเงินได้ที่นำเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
ก่อนหน้านี้ การตีความการเสียภาษีบนรายได้จากแหล่งต่างประเทศสำหรับผู้เสียภาษีที่อยู่ในประเทศไทย จะอาศัยความตามคำสั่งเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ที่มีการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินจากต่างประเทศ และนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีปฏิทินถัดไปจากปีที่มีเงินได้ การตีความนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาที่มีกิจการหรือมีทรัพย์สินในต่างประเทศ
นายโจนาธาน สจ๊วต สมิทธ หุ้นส่วนด้านภาษี ของมาซาร์สในประเทศไทย คาดการณ์ว่า คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 161/2566 จะส่งผลกระทบต่อผู้เสียภาษีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่อยู่ในประเทศไทย แต่มีเงินได้พึงประเมินจากการทำงานในต่างประเทศ มีกิจการ รวมทั้งมีทรัพย์สินอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ
ตัวอย่างเช่น ผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย (อยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีปฏิทิน) ที่ขายหุ้นของบริษัทในต่างประเทศจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทยจากกำไรจากการขายหุ้น หากนำกำไรจากการขายหุ้นนั้นเข้ามาตั้งแต่ปีปฏิทิน 2567 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม หากเงินรายได้จากต่างประเทศที่เกิดขึ้นก่อนปี 2566 ได้ถูกถ่ายโอนไปยังบัญชีธนาคารในประเทศไทยของบุคคลนั้นๆ ภายในสิ้นปี 2566 นี้ กำไรจากการลงทุนจะยังคงได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทย
ในประเด็นดังกล่าวนี้ มาซาร์สในประเทศไทยจึงขอแนะนำให้บุคคลธรรมดาผู้เสียภาษีที่อยู่ในประเทศไทยตรวจสอบแหล่งเงินได้ที่มาจากต่างประเทศที่มีอยู่ในบัญชีธนาคารในต่างประเทศ และพิจารณานำเงินได้ดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยภายในก่อนสิ้นเดือนธันวาคม 2566 นี้ เพื่อรับประโยชน์ด้านภาษีที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม นายโจนาธานกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังกล่าวจะทำให้เกิดความต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพิ่มมากขึ้น และมาซาร์สในประเทศไทยก็พยายามจะเพิ่มบริการให้คำแนะนำปรึกษาให้ลูกค้าที่จะต้องเผชิญหน้ากับกลไกด้านภาษีที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่าเดิมนี้
“เรามองว่าแนวปฏิบัติใหม่นี้จะทำให้เกิดข้อสงสัยและประเด็นวิตกกังวลมากมาย ที่ทำให้ผู้เสียภาษีต้องพยายามแสวงหาความชัดเจนและคำแนะนำ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาด้านภาษีชั้นนำของโลก เรามีความพร้อมในการจัดการกับข้อกังวลเหล่านี้ และสามารถจะช่วยวางกลยุทธ์ด้านภาษีให้กับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่สอดคล้องกับหลักกฎหมายด้วย”
มาซาร์สในประเทศไทยมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีโดยเฉพาะเพื่อช่วยไขความกระจ่างและหาแนวทางแก้ไขท่ามกลางความไม่แน่นอนในประเด็นดังกล่าว
นายโจนาธานกล่าวว่า “เราจะช่วยให้ลูกค้าของเราเผชิญกับกลไกด้านภาษีที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมั่นใจ และสร้างความเชื่อมั่นว่าพวกเขาปฏิบัติได้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์กฎหมายภาษีและแนวปฏิบัติใหม่ นอกจากนี้ เรายังอยากจะแนะนำให้ลูกค้าเข้ามาปรึกษาหารือเป็นเฉพาะกรณีไป เพื่อเราจะได้แนะนำวิธีลดภาระทางภาษีให้เหลือน้อยที่สุด”
เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2566 กรมสรรพากรได้มีการออกหนังสือคำถาม-คำตอบ (Q&A) เกี่ยวกับ ป.161/2566 หนึ่งประเด็นที่กรมสรรพากรให้ความเห็นคือภาษีที่ถูกชำระมาแล้วในต่างประเทศ สามารถนำมาใช้เป็นเครดิตภาษีได้ ภายใต้เงื่อนไขตามอนุสัญญาภาษีซ้อน (Double Tax Agreement) ที่ประเทศไทยได้ทำไว้กับประเทศภาคี อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากรมิได้ให้ความกระจ่างในเรื่องของวิธีการและเงื่อนไขที่ชัดเจนในการใช้เครดิตภาษีดังกล่าว ทางมาซาร์สมีความเห็นว่ากรมสรรพากรควรจะมีการปรับแบบแสดงรายการภาษีเพื่อเอื้ออำนวยแก่การใช้เครดิตภาษี รวมถึงแนวทางที่ชัดเจนในการใช้เครดิตภาษีนั้นๆ ด้วย
หากต้องการคำแนะนำและความช่วยเหลือเป็นกรณีเฉพาะในการดำเนินการเปลี่ยนแปลงภาษี สามารถติดต่อทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีมากประสบการณ์ของมาซาร์สในประเทศไทยได้ที่ https://www.mazars.co.th/Home/Services/Tax