ORรอลุ้นที่ปรึกษากระทรวงพลังงานสรุปค่าการตลาดน้ำมันที่เหมาะสมในปลายปี66 หลัง”พีระพันธ์ุ”รองนายกฯและรมว.พลังงานบี้ค่าการตลาดน้ำมันทุกชนิดไม่เกิน 2บาท/ลิตร ยันผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันอยู่ได้มาจากกำไรธุรกิจNon Oil
แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน)(OR) เปิดเผยกรณีที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ต้องการกำหนดให้ค่าการตลาดราคาน้ำมันทุกชนิดไม่เกิน 2 บาทต่อลิตรเพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันแพงว่าปัจจุบันค่าการตลาดน้ำมันที่ORได้รับอยู่ที่ 2บาทต่อลิตรอยู่แล้ว ซึ่งต้องแบ่งให้กับดีลเลอร์ราว 1.05 -1.10บาท/ลิตร ซึ่งดีลเลอร์ก็มีภาระค่าใช้จ่ายทั้งค่าแรงเด็กปั๊ม ค่าน้ำไฟฟ้า และค่าบริหารจัดการ(ไม่รวมเงินลงทุนทำปั๊มน้ำมัน)เฉลี่ย 70-80สตางค์/ลิตร และในปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีกเมื่อมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้กำไรเหลือน้อยมาก
ที่ผ่านมา ดีลเลอร์หรือผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันPTT Stationยังดำเนินธุรกิจได้เนื่องจากมีกำไรจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอน ร้านสะดวกซื้อ 7-11 และการให้เช่าพื้นที่ร้านค้าภายในปั๊มน้ำมัน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการทบทวนโครงสร้างราคาน้ำมัน โดยได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ค่าการตลาดที่เหมาะสมว่าควรเป็นเท่าไรคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปลายปี2566
ที่ผ่านมาค่าการตลาดน้ำมันไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมานานราว 5ปี ขณะที่ค่าใช้จ่ายทั้งค่าแรง อัตราดอกเบี้ย ค่าสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันที่ไม่มีธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน(Non Oil)ด้วย แทบจะอยู่รอดลำบาก สังเกตได้จากปั๊มน้ำมันรายเล็กค่อนข้างเก่า เพราะไม่มีเงินปรับปรุง
แหล่งข่าว กล่าวต่อไปว่า ในต้นปีหน้ารัฐกำหนดให้มีการใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร 5 ทำให้ฐานการคำนวณค่าการตลาดของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กับผู้ค้าน้ำมันจะเป็นอ้างอิงจากสูตรเดียวกัน ต่างจากปัจจุบันที่สนพ.ใช้ข้อมูลอ้างอิงน้ำมันของสิงคโปร์ที่ไม่มีข้อมูลมาตรฐานยูโร 4 แต่ORใช้ข้อมูลยูโร 4 จากราคาหน้าโรงกลั่นฯ