xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่มยานยนต์เกาะติดสงครามอิสราเอล-ฮามาสหวั่นขยายกระทบเป้าผลิต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลุ่มยานยนต์ส.อ.ท.เกาะติดการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสใกล้ชิดขณะนี้กระทบต่ำเหตุส่งออกรถไปอิสราเอลน้อย หวั่นขยายพื้นที่ทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางกระทบส่งออกมากกว่าเพราะเป็นตลาดใหญ่ ขณะที่เป้าผลิตทั้งปีตั้งไว้ 1.9 ล้านคันหากส่งออกกระทบก็จะกดดันมากขึ้น หนุนรัฐบาล”เศรษฐา”วางไทยศูนย์กลางโลกผลิตอีวี ควบคู่รถสันดาป

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธาน และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังติดตามสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสอย่างใกล้ชิดโดยขณะนี้การส่งออกยานยนต์ยังไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญเพราะการสู้รบยังจำกัดพื้นที่ซึ่งไทยส่งออกไปยังอิสราเอลไม่มากนัก แต่ยอมรับว่าหากการสู้รบขยายวงกว้างไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกยานยนต์ในช่วงปลายปีได้เช่นกัน

“ รถยนต์ส่งออกไปอิสราเอลเป็นอันดับหนึ่งของสินค้าทั้งหมดที่ส่งไปที่อิสราเอล โดยมีการส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบอุปกรณ์ไปอิสราเอลปีที่แล้วมี มูลค่า243.44ล้านเหรียญสหรัฐ และ 8 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่า 124.42 ล้านเหรียญสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนราว 1% ของการส่งออกรวม ขณะที่การส่งออกไปยังตะวันออกกลางคิดเป็น 16% ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่อันดับ 3 ที่ไทยส่งออกรองจากตลาดเอเชียที่มีสัดส่วน 31% ออสเตรเลีย 28% ในปัจจุบัน โดยเฉพาะซาอุดิอาระเบียที่มีสัดส่วนสูงสุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง จึงทำให้เราค่อนข้างกังวลหากการสู้รบมีการขยายพื้นที่ นอกจากนี้หากการสู้รบขยายวงกว้างยังจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกภาพรวมอีกด้วยเหล่านี้จึงต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด”นาย สุรพงษ์กล่าว

สำหรับเป้าหมายการผลิตรถยนต์ที่กลุ่มฯคาดไว้ปี 2566 อยู่ที่ 1,900,000 คันแบ่งเป็นผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 850,000 คันผลิตเพื่อส่งออก 1,050,000 คัน ซึ่งหากพิจารณายอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ 8 เดือนแรกปีนี้มียอดขาย 524,784 คัน ลดลงจาช่วงเดียวกันปีก่อน 6.21% ดังนั้นเป้าหมายผลิตเพื่อจำหน่ายมีแนวโน้มไม่ถึงเป้าที่วางไว้ 850,000คันแต่จะมากน้อยเพียงใดคงจะต้องดูมาตรการภาครัฐที่เริ่มกระตุ้นการลดค่าครองชีพประชาชนทั้งค่าน้ำค่าไฟอีกระยะหนึ่งแต่การส่งออกนั้นตัวเลขยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย แต่ยอมรับว่าหากการสู้รบในอิสราเอลขยายพื้นที่และรุนแรงก็จะกระทบส่งออกเช่นกันจึงต้องติดตามว่าจะต้องมีการทบทวนเป้าการผลิตใหม่หรือไม่อย่างไรต่อไป

นายสุรพงษ์ยังกล่าวถึงกรณีรัฐบาล”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรมว.คลังมีนโยบายสมดุลการผลิตรถยนต์ที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายใน(ICE) ซึ่งใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ถือเป็นแนวทางเดียวกับกลุ่มยานยนต์ส.อ.ท.ที่ได้นำเสนอไว้เพราะจะส่งผลดีต่อการให้ไทยเป็นศูนย์กลาง(ฮับ)การผลิตรถยนต์ทั้ง 2 ประเภทในระดับโลกเพื่อการส่งออกเนื่องจากประเทศที่พัฒนาแล้วมุ่งเน้นที่จะยกเลิการใช้ ICE เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม แต่หลายประเทศก็ยังคงไมพร้อมยังคงใช้ต่อไปจึงนับเป็นโอกาสของไทย

“ นโยบายEVของไทยใช้หลักการให้มีการนำเข้ามาจำหน่ายได้แต่เมื่อมีโรงงานผลิตแล้วก็จะต้องผลิตชดเชยและมีการส่งออก ซึ่งปี 2565-66 น่าจะมีการนำเข้ามาราว8-9 หมื่นคันอีก 2 ปีข้างหน้าก็จะต้องมีการผลิตเพื่อทดแทนถือเป็นการดำเนินนโยบายที่ชาญฉลาดในการดึงการลงทุน และรัฐบาลปัจจุบันมาขับเคลื่อนมาตรการEV3.5 ต่อก็จะหนุนให้ไทยเป็นฮับการผลิต EV ที่สำคัญของโลกและการส่งออกรถยนต์ของไทยก็จะไม่ลดลงในภาพรวม”นายสุรพงษ์กล่าว

นอกจากนี้การที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้วิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่ชนิดโซเดียมไอออนจากแร่เกลือหินในประเทศไทยซึ่งหากดำเนินการได้เชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพในระยะต่อไปก็จะเป็นอีกปัจจัยในการดึงการลงทุน EV ทั้งระบบเพราะแบตเตอรี่ชนิดนี้มีแร่เกลือหินในประเทศรองรับในปริมาณที่มากและไม่แพงเมื่อเทียบกับลิเธียมไอออนที่มีวัตถุดิบที่จำกัดและราคาสูง
กำลังโหลดความคิดเห็น