กลุ่มอดีตผู้บริหาร กฟผ.-ภาค ปชช.ออกแถลงการณ์เตรียมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงานเร่งเสนอ นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ขึ้นเป็นผู้ว่าฯ กฟผ.คนใหม่โดยเร็วหลังเจอภาวะหลุมดำการบริหารงาน 4 เดือน ขู่ สร.กฟผ.อาจเคลื่อนไหวใหญ่ พร้อมให้เร่งยกเลิกค่าความพร้อมจ่าย คงสัดส่วนการผลิตไฟ 51% เลิกแยกศูนย์ควบคุมไฟฟ้า ฯลฯ แก้ค่าไฟแพงแบบยั่งยืน
วันนี้ (2 ต.ค. 66) ผู้แทนกลุ่มอดีตผู้ปฏิบัติงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และภาคประชาชน นำโดย นายพิเชษฐ์ ชูชื่น อดีตผู้บริหาร กฟผ., นายธรรมยุทธ สุทธิวิชา อดีตสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กฟผ.(สร.กฟผ.) และนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดแถลงการณ์ถึงข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้ว่าการ กฟผ.คนที่ 16 และการแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงที่ประชาชนเดือดร้อน
นายพิเชษฐ์ ชูชื่น อดีตผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าจะนะ และบางปะกง กฟผ. กล่าวว่า เร็วๆ นี้ทางกลุ่มเตรียมที่จะยื่นหนังสือถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงการคลัง และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงพลังงาน เพื่อให้เร่งพิจารณาใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. ขอให้เร่งพิจารณาแต่งตั้งผู้ว่าณ กฟผ.คนใหม่ (คนที่ 16) ที่ดำเนินการด้วยความถูกต้องและชอบธรรมผ่านคณะกรรมการสรรหาและคณะกรรมการ กฟผ. คือ นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ที่ได้เสนอไปยัง รมว.พลังงานขณะนั้นคือนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ แต่ต่อมามีการยุบสภาไปเสียก่อนรัฐบาลรักษาการจึงดำเนินการไม่ได้ จึงมีการนำเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้วแต่ทาง กกต.ยืนยันว่าจะต้องเสนอรัฐบาลใหม่ ดังนั้นเรื่องนี้จึงอยู่ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่จะสามารถนำเสนอ ครม.ใหม่ได้เพราะเป็นการสรรหามาโดยชอบธรรมแล้ว
2. ขอให้รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาการยกเลิกค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payments : AP ของโรงไฟฟ้าเอกชนที่ปัจจุบันแม้จะเดินเครื่องการผลิตหรือไม่ก็ต้องจ่าย ทำให้ภาระดังกล่าวไปตกอยู่กับประชาชนที่จะต้องรับค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น 3. รัฐบาลควรพิจารณาสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.ที่ไม่ให้ต่ำกว่า 51% เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 หมวด 5 ว่าด้วยเรื่องหน้าที่ของรัฐ มาตรา 56 กิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจําเป็นต่อการดํารงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ รัฐจะกระทําด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือทําให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่า 51% มิได้
4. ขอให้พิจารณาทบทวนการกำหนดให้แยกศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าออกจาก กฟผ.ที่มีบทบาทหน้าที่ มีอำนาจควบคุมด้านความมั่นคงและความเป็นธรรมของระบบไฟฟ้าของประเทศซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายหากแยกออกไปแล้วเอื้อต่อเอกชนเพราะ กฟผ.ไม่ได้เป็นกิจการที่มุ่งแสวงหาผลกำไร
นายธรรมยุทธ สุทธิวิชา อดีตสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กฟผ.(สร.กฟผ.) กล่าวว่า การแต่งตั้งผู้ว่าฯ กฟผ.ได้ใช้เวลาล่วงเลยมา 4 เดือนซึ่งไม่เคยมีในประวัตศาสตร์จึงมีการมองได้ว่านี่อาจจะเป็นการแทรกแซงจากกลุ่มทุนหรือไม่ ทำให้ กฟผ.เองขาดผู้บริหารรวมถึงระดับผู้อำนวยการฝ่ายสิบกว่าท่านก็ได้เกษียณ รวมไปถึงระดับรองผู้ว่าการอีก 2 ท่าน ทำให้ยังไม่ได้มีการแต่งตั้งจึงกลายเป็นเป็ดง่อยและหลุมดำของการบริหารงาน จึงต้องการให้มีการนำเสนอ ครม.โดยเร็ว ซึ่งประเด็นนี้ทาง สร.กฟผ.ปัจจุบันกำลังติดตามอยู่หากมีอะไรที่ไม่ถูกต้องก็พร้อมจะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
สำหรับในเรื่องค่าไฟฟ้าแพงนั้น ในความเป็นจริงต้นกำเนิดเกิดมาจากในอดีตภาครัฐและกระทรวงพลังงานเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีบทบาทและกำหนดนโยบายในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้ามากเกินไปโดยขาดการสร้างความสมดุลด้าน Demand และ Supply จะเห็นจากปัจจุบัน Supply มีมากกว่า Demand เกินครึ่งหนึ่ง ซ้ำยังกำหนดให้ กฟผ.ทำสัญญาจ่ายค่าความพร้อมและอื่นๆ ตลอดจนปล่อยปละละเลยกำหนดนโยบายให้ใช้พลังงานหมุนเวียนมากเกินไปโดยอ้างปัญหาโลกร้อนและไปลงนามสัญญาร่วมกับประเทศต่างๆ โดยไม่ดูข้อจำกัดต่างๆ ภายในประเทศ เหล่านี้ระยะต่อไปจำเป็นจะต้องเร่งแก้ไขปัญหา
“ค่าไฟที่ รมว.พลังงานได้มีนโยบายจนปรับลดลงนั้นเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ที่ ปัญหาจะไม่สามารถถูกแก้ได้อย่างยั่งยืนแน่นอน ดังนั้นต้องแก้ไขที่ต้นเหตุคือการแก้ไขสัญญาที่รัฐเสียเปรียบกับเอกชนใหม่ เช่นค่าความพร้อมจ่าย เป็น แก้ไขสัญญาให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐและประชาชนสำหรับรายใหม่ สร้างความสมดุล Demand และ Supply อย่างสมเหตุสมผล เปิดเสรีการนำเข้าเชื้อเพลิง GAS (LNG) และเสรีการซื้อขายไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการแข่งขันจะทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลง กำหนดให้ภาคเอกชนสามารถขอใช้ท่อ Gas จาก ปตท.ได้โดยไม่มีเงื่อนไข โดยการสนับสนุนจากรัฐบาล ควรให้ กฟผ.เป็นองค์กรหลักในการนำเสนอและจัดทำแผน PDP เพื่อนำเสนอรัฐบาลได้อย่างถูกต้อง” นายธรรมยุทธกล่าว
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ประชาชนได้ร้องเรียนที่ผ่านมาถึงผลกระทบจากค่าไฟฟ้าที่แพงจนเดือดร้อน และแม้ว่ารัฐบาลใหม่ได้ประกาศลดค่าไฟฟ้าลงในเดือน ก.ย.-ธ.ค. 66 ถือเป็นเรื่องดีแต่ต้องแก้ไขให้ยั่งยืนที่จะต้องปรับโครงสร้างพลังงานอื่นๆ เช่น ค่า AP การเปิดเสรีนำเข้าเชื้อเพลิงเพื่อการผลิตไฟ ฯลฯ