“ไทยออยล์” มั่นใจผลการดำเนินงานครึ่งหลังปี 2566 ดีกว่า 6 เดือนแรก มาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และโรงกลั่นหลายแห่งปิดซ่อมกะทันหันทำให้ค่าการกลั่นพุ่ง ยันปัญหาน้ำมันรั่วส่งผลกระทบต่อโรงกลั่นไทยออยล์น้อย ระบุมีการบันทึกค่าใช้จ่ายตามจริงในไตรมาส 3 นี้
นางสาวทอแสง ไชยประวัติ ผู้จัดการฝ่ายวางแผนการเงิน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยผลกระทบจากกรณีน้ำมันดิบรั่วราว 6 หมื่นลิตรบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล (SBM-2) ของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรีว่า ขณะนี้บริษัทได้ควบคุมสถานการณ์การรั่วไหลของน้ำมันดิบได้แล้วและไม่พบคราบน้ำมันในทะเลรวมทั้งชายฝั่ง ซึ่งปัจจุบันได้ร่วมกับภาครัฐและเอกชนตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวมีสาเหตุจากอะไร รวมทั้งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อดำเนินการแก้ไขให้เร็วที่สุด คาดว่าจะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายตามจริงในไตรมาส 3 นี้และจะบันทึกเพิ่มเติมในไตรมาสถัดๆ ไป
สำหรับผลกระทบต่อโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์มีน้อย เนื่องจากบริษัทสามารถใช้ท่อรับน้ำมันดิบอีกเส้นทางหนึ่งได้ ทำให้ผลการดำเนินงานบริษัทในครึ่งหลังปี 2566 จะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันตึงตัวในตลาดโลกหลังจากรัสเซียและซาอุดีอาระเบียประกาศลดอุปทานน้ำมันโดยสมัครใจจนถึงสิ้นปีนี้ รวมทั้งโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งมีการปิดซ่อมกะทันหันไม่ว่าจะเป็นโรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ส่งผลให้ค่าการกลั่น (GRM) ในไตรมาส 3 นี้ปรับตัวสูงขึ้นคาดว่าต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4/2566 เนื่องจากตลาดมีความต้องการใช้น้ำมันในช่วงฤดูหนาว
ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 93 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้ค่าการกลั่น (GRM) กลับขึ้นมาอยู่ระดับมากกว่า 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากมีการหยุดของหลายโรงกลั่นกะทันหัน แต่คาดว่าในไตรมาส 4 นี้โรงกลั่นที่ปิดซ่อมจะทยอยกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง
ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ราคายังถูกกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาด สำหรับธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นฟื้นตัวเล็กน้อยในปลายปีนี้