NAT เปิดแผนธุรกิจปี 2566 ชูจุดเด่นผู้เชี่ยวชาญ Infratech การเป็นที่ปรึกษา และ ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารครบวงจร ผนึกพันธมิตรทางธุรกิจเทคโนโลยีระดับโลก ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าในวงกว้าง มุ่งเน้นกลยุทธ์พัฒนาโซลูชั่นด้วยเทคโนโลยีชั้นนำ เสริมบริการด้าน Cyber Security สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขยายพอร์ตลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน เตรียมความพร้อมนำธุรกิจเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เสริมศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายสุธี อภิชนรัตนกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แนท แอบโซลูท เทคโนโลยีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NAT กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Infratech ในส่วนงานโครงสร้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บริการด้านเทคโนโลยีครบวงจรแก่องค์กรชั้นนำของประเทศ โดยบริษัทแบ่งการให้บริการออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์พร้อมติดตั้ง และรับเหมาวางระบบที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology System Integration) ด้วยมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก 2.ธุรกิจให้บริการเจ้าหน้าที่ไอที (IT Outsourcing) และ 3.ธุรกิจให้บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เช่น การให้บริการเดินสายระบบเน็ตเวิร์ค (Cabling System) การให้บริการเช่าเครื่องพิมพ์เอกสาร เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับโลกในการขายผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ และการให้บริการในฐานะ “ผู้ให้บริการด้านโซลูชั่น (Solution Provider)” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในวงกว้าง อาทิ เดลล์ เทคโนโลยีส์ (Dell Technologies) เจ้าของผลิตภัณฑ์ด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา ในระดับ Titanium Partner ซึ่งเป็นระดับพันธมิตรทางธุรกิจขั้นสูงสุด, Genesys ผู้นำด้าน Customer Experience แบบ Omnichannel และผู้ให้บริการ Cloud Contact Center ระดับโลก จากประเทศสหรัฐอเมริกา, Radware ผู้นำด้านเทคโนโลยี DDoS Protection และ ผู้นําระดับโลกด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และ บริษัท วีเอ็มแวร์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Vmware ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และให้บริการด้านระบบคลาวด์
ในปี 2565 บริษัทมีสัดส่วนรายได้เมื่อแบ่งตามลักษณะการประกอบธุรกิจ ได้แก่ (1) ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์พร้อมติดตั้ง และรับเหมาวางระบบที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 97.15%, (2) ธุรกิจให้บริการเจ้าหน้าที่ไอที 1.52% และ (3) รายได้จากการให้บริการอื่นๆ 1.33% โดยบริษัทมีกลุ่มลูกค้าภาครัฐในสัดส่วน 85.66% และ ภาคเอกชน 14.34% ของรายได้จากการขายและบริการ
ขณะที่แผนการดำเนินงานปี 2566 บริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเทคโนโลยีชั้นนำจากพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลกมาใช้ในการพัฒนาโซลูชั่น และบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มากขึ้น โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security)
นอกจากนี้บริษัทยังเน้นการขยายกลุ่มเป้าหมายหลักทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ กลุ่มโรงพยาบาล และ กลุ่มพลังงาน คาดว่าจะส่งผลให้การเติบโตของรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
“ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานมากว่า 19 ปี บริษัทมีการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง โดยการส่งมอบโซลูชั่นที่ดีที่สุดและตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้ามีความพร้อมในการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล หรือ Digital Transformation ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่มีแนวโน้มความต้องการมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้า และบริษัทมีความมั่งมุ่นในการก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจไอทีและดิจิทัล ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง และเตรียมพร้อมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เพื่อเสริมศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืน” นายสุธี กล่าวเพิ่มเติม.