“อินโนบิก” ในเครือ ปตท.สนับสนุน “นำวิวัฒน์” เข้าระดมทุนตลาดหุ้น เพื่อขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ฆ่าเชื้อทางการแพทย์ทั้งในไทยและต่างประเทศ หวังไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพของอาเซียนในอนาคต โดย "นำวิวัฒน์" ได้ยื่นไฟลิ่งต่อ ก.ล.ต.เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 181 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.86% ของหุ้นทั้งหมด
นายบุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เปิดเผยว่า ตามที่อินโนบิกตัดสินใจลงทุนถือหุ้น 16.65% ในบริษัทนำวิวัฒน์ การช่าง (1992) จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องมือการแพทย์กลุ่มทำให้ปราศจากเชื้อ (sterilization) ชั้นนำในประเทศ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 800 ล้านบาทนั้น ก็ได้ส่งคนเข้าไปนั่งเป็นกรรมการบริษัทฯ ดังกล่าวเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล อัปเดตเทรนด์ทางการแพทย์ใหม่และแสวงหาโอกาสผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศ รวมทั้งผลักดันให้นำวิวัฒน์ฯ เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อขยายธุรกิจทั้งใน และต่างประเทศ
โดยบริษัทนำวิวัฒน์ฯ มีแผนขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนคิดเป็น 25.86% ทำให้อินโนบิกมีสัดส่วนถือหุ้นในนำวิวัฒน์ฯ เหลือ 15% ภายหลังการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)
“อินโนบิกใช้เวลากว่า 2 ปีในการเข้าไปเจรจาเพื่อเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทนำวิวัฒน์ฯ เพราะเล็งเห็นโอกาสการเติบโตทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นอีกมากในอนาคต โดยเฉพาะด้านการผลิตอุปกรณ์การแพทย์ และร่วมกันขยายตลาดสู่ต่างประเทศ รวมถึงออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น เครื่องมือที่ใช้ในห้องผ่าตัด ห้องฉุกเฉิน และห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) โดยตลาดเครื่องมือแพทย์ในไทยมีอัตราการเติบโต 5 ปีที่ผ่านมาสูงถึง 10.45% ส่วนใหญ่ยังพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก ดังนั้น ความร่วมมือครั้งนี้จะเพิ่มโอกาสการพัฒนาให้คนในประเทศสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานและการผลิตจากโรงงานที่ได้รับการยอมรับระดับโลก ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพในอนาคต อีกทั้งแทนที่เราจะให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน เราเลือกออกไปปักธงไทยให้ต่างชาติรู้จักแบรนด์ของคนไทยไม่ดีกว่าหรือ ฉะนั้น จึงเกิดความร่วมมือในครั้งนี้ขึ้น และเพื่อให้นำวิวัฒน์ฯ ขยายการลงทุนออกสู่ตลาดโลก”
นายวิโรจน์ ชัยเทิดเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (NAM) กล่าวว่า ขณะนี้ NAM ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 181 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.86% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลัง IPO แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทจำนวนไม่เกิน 105 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย WAI Global Corporation Limited จำนวนไม่เกิน 76 ล้านหุ้น โดยได้แต่งตั้งให้บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ และ บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
NAM เป็นบริษัทประกอบกิจการค้าเครื่องมือแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการทำให้อุปกรณ์สะอาดและปราศจากเชื้อ จดทะเบียน 18 ตุลาคม 2565 โดยแปรสภาพจาก บริษัท นำวิวัฒน์การช่าง (1992) จำกัด ทุนจดทะเบียน 350,000,000 บาท โดยมีบริษัท อินโนบิก แอลแอล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ร่วมถือหุ้น
ปัจจุบัน นำวิวัฒน์ มีการส่งออกอุปกรณ์ทางการแพทย์สู่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา เมียนมาด้วย และในอนาคตจะขยายการส่งออกไปอีกหลายประเทศ จึงต้องเตรียมความพร้อมด้านโรงงานผลิตฯ งานวิจัยและพัฒนา (R&D) บุคลากร ความชำนาญในธุรกิจ ฉะนั้น การมีอินโนบิกเข้ามาจะทำให้เกิด Synergy ร่วมกันและสร้างการเติบโตธุรกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ประเภทเครื่องฆ่าเชื้อแบบครบวงจรในตลาดโลก
ทั้งนี้ บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้ 1. กลุ่มผลิตและจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ คิดเป็นสัดส่วนธุรกิจราว 53% 2. กลุ่มผลิตและจำหน่ายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ คิดเป็นสัดส่วนธุรกิจราว 27% 3. กลุ่มงานให้บริการ คิดเป็นสัดส่วนธุรกิจราว 20% โดยมีลูกค้าประเภทโรงพยาบาลในประเทศไทยที่เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่กว่า 1,100 แห่ง และหากรวมโรงพยาบาลขนาดเล็กด้วย จะมีลูกค้ากว่า 1,500-1,600 แห่งทั่วประเทศ
ปัจจุบันมีโรคใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้โรงพยาบาลมีคนไข้เข้าใช้บริการมากขึ้น จึงเกิดความต้องการใช้เครื่องมือแพทย์มากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญให้อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์เติบโต และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนใส่ใจสุขภาพ และโรงพยาบาลก็ต้องการความปลอดภัยสูงในแง่การป้องกันการติดเชื้อ ฉะนั้น โควิด-19 ไม่ได้เป็นแค่ปัจจัยที่กระตุ้นการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว แต่เป็นการพลิกการรักษาพยาบาล ป้องกันการติดเชื้อในระยะยาว ดังนั้น บริษัทฯ จึงวางแผนสร้างการเติบโตไม่ใช่แค่ในไทย แต่ต้องการเติบโตในระดับโลก ในการขยายการจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดโลก
นายวิโรจน์กล่าวว่า เป้าหมายการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น บริษัทฯ ต้องการนำเงินมารองรับขยายการลงทุนตามแผน โดยแผนการลงทุนระยะแรก (ระยะสั้น 3 ปี) อินโนบิกจะอาศัยช่องทางของนำวิวัฒน์ฯ ในการจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ของอินโนบิกไปสู่โรงพยาบาลที่เป็นลูกค้าของนำวิวัฒน์ฯ อยู่แล้ว
แผนการลงทุนระยะที่สอง จะขยายการลงทุนรองรับการเติบโตของบริษัทในระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทางอินโนบิกก็จะช่วยด้านเงินลงทุนเข้ามาขยายโรงงานผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการติดตั้งเครื่องจักรเพิ่มเติม ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปแล้วตั้งแต่ปี 2565 ภายใต้งบประมาณ 500 ล้านบาท ในการจัดสร้างโรงงานฯ แห่งใหม่ขึ้นที่จ.สมุทรปราการ ใกล้กับพื้นที่โรงงานเดิม คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568 เพื่อให้บริษัทมีเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยมากขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าเพิ่มขึ้น และแผนการลงทุนระยะสุดท้าย แสวงหาโอกาสความร่วมมือการลงทุนกับพันธมิตรในตลาดโลก
นอกจากนี้ นำวิวัฒน์ณ ยังมองโอกาสขยายการลงทุนธุรกิจจำหน่ายเครื่องกำจัดขยะติดเชื้อ เพื่อเข้าไปช่วยโรงพยาบาล ลดการส่งออกขยะติดเชื้อออกไปกำจัดนอกพื้นที่ ซึ่งมีระยะทางไกล และอาจไม่ปลอดภัย ซึ่งปัจจุบันบริษัท สามารถจำหน่ายเครื่องกำจัดขยะติดเชื้อให้โรงพยาบาลได้แล้วกว่า 10 แห่ง เช่น โรงพยาบาลจุฬาฯ ที่ซื้อเครื่องฯ ไปติดตั้งแล้ว 2 เครื่อง ทำให้ไม่ต้องส่งออกขยะติดเชื้อเพื่อไปกำจัดที่อื่น ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และขยะติดเชื้อเมื่อผ่านการบดสามารถส่งป้อนเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าได้ต่อไป รวมถึงบริษัทยังมีธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องฆ่าเชื้อในอากาศ และพ่นฆ่าเชื้อบนพื้นผิว
“มูลค่าตลาดในภูมิภาคเอเชียฯ เกือบ 4-5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ไทยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่เกือบ 1 หมื่นล้านบาท โดยนำวิวัฒน์ฯ มีรายได้ราวปีละ 1,000 ล้านบาท แสดงว่าที่เหลือยังเป็นการนำเข้าเครื่องมือทางการแพทย์อยู่ จึงยังมีโอกาสที่ธุรกิจจะขยายการเติบโต ซึ่งนำวิวัฒน์ฯ ถือเป็นเอกชนที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ฆ่าเชื้อทางการแพทย์เบอร์ 1 ในอาเซียน”
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีการเติบโตของรายได้จากการขายและการให้บริการรวมในปี 2563 เท่ากับ 676.61 ล้านบาท กำไรสุทธิ 110.44 ล้านบาท, ปี 2564 รายได้รวม 995.36 ล้านบาท กำไรสุทธิ 169.68 ล้านบาท และปี 2565 รายได้รวม 1,099.36 ล้านบาท กำไรสุทธิ 175.71 ล้านบาท ในปี 2566 คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา