SCC เตรียมทบทวนเป้ารายได้ปี 2566 ใหม่หลังพ้นครึ่งปีแรก จากเดิมตั้งเป้าโต 10% จากปีก่อน สาเหตุจากรายได้รวมราว 40% มาจากต่างประเทศ ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจโลกปีนี้ยังคงเปราะบาง และอาเซียนฟื้นตัวไม่เด่นชัด หวั่นปัจจัยเสี่ยงทั้งเงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูงกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่วนไทยเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นจากการเติบโตของภาคท่องเที่ยว แต่หวั่น 3 ปัจจัยเสี่ยงทั้งความผันผวนของราคาพลังงาน ความเสี่ยงภัยแล้ง และปัญหาฝุ่น PM 2.5 ฉุดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตฯ ลดลง
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่าเป้าหมายรายได้จากการขายในปี 2566 ที่เดิมบริษัทตั้งเป้าเติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 569,609 ล้านบาทนั้นไม่ง่าย ยอมรับว่าเหนื่อย ซึ่งบริษัทเตรียมทบทวนรายได้ใหม่หลังผ่านครึ่งปีแรกไปแล้ว เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนถึง 40% ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจอาเซียนมีการฟื้นตัวยังไม่เด่นชัด และมีปัจจัยเสี่ยงมากทั้งอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูง ส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์บางประเทศ ส่วนเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่มีความเสี่ยงเข้าสู่เศรษฐกิจชะลอตัวจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเพื่อสกัดเงินเฟ้อสูง และยังมีปัญหาราคาพลังงานผันผวนด้วย
ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณการฟื้นตัวเด่นชัดมากจากภาคการท่องเที่ยวที่ตั้งเป้าหมายว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทย 25 ล้านคนน่าจะเป็นไปได้จากไตรมาสแรกปีนี้มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยแล้ว 6 ล้านคน แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง 3 เรื่อง คือ 1. ความผันผวนราคาพลังงาน เช่น ค่าไฟและพลังงานอื่น ที่ลดทอนขีดความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรม 2. ความเสี่ยงภัยแล้งที่สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) คาดการณ์ปี 2566-67 อาจมีฝนน้อยกว่าปกติและฝนทิ้งช่วง ทำให้เสี่ยงต่อภัยแล้งข้ามปี และ 3. สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่สูงเกินมาตรฐาน กระทบต่อสุขภาพประชาชนและหากไม่เร่งแก้ไขจะกระทบภาคการท่องเที่ยวได้ ดังนั้นปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกภาคส่งควรร่วมมือหาทางออกเพื่อคงความสามารถในการแข่งขันของประเทศและการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เร่งปรับตัวและร่วมแก้ปัญหาจากปัจจัยเสี่ยงอย่างเต็มที่ โดยเพิ่มสัดสวนการใช้พลังงานทดแทนจากเชื้อเพลิงไบโอแมสและพลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งปรับปรุงการใช้น้ำรีไซเคิล และกำหนดมาตรการใช้น้ำอย่างประหยัดรวมถึงการเตรียมแหล่งน้ำในพื้นที่เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ด้วย บริษัทได้มีมาตรการเข้มงวดในการกำจัดฝุ่นจากแหล่งกำเนิด โดยติดตั้งระบบดักฝุ่น การทำเหมืองแบบ Semi Open Cut โดยมีขอบเขต (Buffer Zone) เป็นกำแพงกันฝุ่น ฉีดพรมน้ำตามเส้นทางขนส่ง และคลุมผ้าใบรถทุกคัน ปลูกต้นไม้รอบพื้นที่เป็นแนวกันฝุ่น (Green Belt) และร่วมกับคู่ธุรกิจ ลดฝุ่นจากงานก่อสร้าง ด้วยการใช้ BIM ในการออกแบบ และหล่อชิ้นงานสำเร็จรูปหรือทำเป็นโมดูลาร์ประกอบที่หน้างาน (Of-Site Construction) เป็นต้น
นายรุ่งโรจน์กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2566 น่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2566 เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน โดยนำพลังงานทดแทนเข้ามาใช้แทนถ่านหิน รวมทั้งต้นทุนราคาพลังงานบางชนิดปรับลดลง แม้ว่าไตรมาส 2 นี้ไทยจะมีวันหยุดยาว รวมทั้งอินโดนีเซียเป็นช่วงถือศีลอด
สำหรับความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP ในประเทศเวียดนาม ขณะนี้เริ่มทดลองเดินเครื่องในส่วนโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกป้อนตลาดเวียดนามซึ่งมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว รวมทั้งจะทดลองเดินเครื่องโรงโอเลฟินส์ด้วย คาดจะดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในกลางปีนี้ โดยโครงการ LSP มีจุดแข็งเรื่องความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ (Feedstock) เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนความต้องการใช้และราคาโพรเพนและ LPG จะต่ำลง ซึ่งบริษัทจะพิจารณาสัดส่วนการใช้วัตถุดิบให้เหมาะสมเพื่อให้ต้นทุนแข่งขันได้
ด้านนายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากเทรนด์รักษ์โลกและค่าไฟราคาสูง ส่งผลให้ SCG Cleanergy ผู้ให้บริการซื้อ-ขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดครบวงจร สำหรับภาครัฐ ธุรกิจและอุตสาหกรรมเติบโตต่อเนื่อง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Grid) สำหรับการซื้อ-ขายไฟฟ้าพลังงานสะอาด ที่สะดวก รวดเร็ว ทั้งยังต่อยอดให้ลูกค้าขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้เองในอนาคต
ล่าสุดได้รับคัดเลือกเป็นผู้ผลิต-ขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้ภาครัฐจำนวน 10 โครงการ ขนาด 367 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกัน การลงทุนกับ Rondo Energy สตาร์ทอัพดาวรุ่งด้านพลังงานสะอาดระดับโลก ผู้พัฒนานวัตกรรมแบตเตอรี่กักเก็บความร้อน (Thermal Energy Storage) อุณหภูมิสูงที่สุดในโลก เพื่อจ่ายพลังงานความร้อนให้โรงงานทดแทนการใช้บอยเลอร์ (Boiler) ทำให้ลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ล่าสุดติดตั้งใช้จริงแล้วที่ บริษัท Calgren Renewable Fuels สหรัฐอเมริกา โดยจะนำนวัตกรรม Thermal Energy Storage นี้มาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมในเครือ SCC และโรงงานอุตสาหกรรมในไทยด้วย
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/2566 SCC มีรายได้จากการขาย 128,748 ล้านบาท ลดลง 16% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุมาจากปริมาณขายและราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ลดลง มี EBITDA ลดลง 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 16,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักมาจากในไตรมาส 1 ปี 2566 มีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนของเงินลงทุนใน SCG Logistics จากการรวมธุรกิจ SCGJWD Logistics ของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ทั้งนี้ บริษัทมีกําไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit excluding extra items) อยู่ที่ 4,516 ล้านบาท ลดลง 42% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายสินค้าเคมีภัณฑ์ และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ประกอบกับต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้นจากปีก่อน