สภาองค์การนายจ้างเกาะติดการเลือกตั้งรับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำปี 2566 คาดว่าจะมีการพิจารณาหลังมีรัฐบาลชุดใหม่บริหารแต่มองว่าจะเป็นปลายปีเพราะไทยเพิ่งขยับขึ้นเมื่อ 1 ต.ค. 65 ย้ำต้องผ่านการพิจารณาจากไตรภาคีเพื่อให้เกิดการยอมรับ เผยทิศทาง ศก.ไทยยังเปราะบางจากส่งออกที่ชะลอตัวแนวโน้ม Q1 ยังติดลบ จับตาแรงงานสวนทางขาดแคลน
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) และ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท V-SERVE GROUP เปิดเผยว่า ปี 2566 การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำทั่วประเทศคงจะต้องรอรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งมาพิจารณา โดยสภาองค์การฯ เองมองว่าฝ่ายการเมืองน่าจะเข้าใจระบบการพิจารณา ต้องผ่านคณะกรรมการค่าจ้างที่ประกอบด้วยผู้แทนไตรภาคี 3 ฝ่าย คือ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง และฝ่ายรัฐเป็นผู้เห็นชอบเพื่อให้เป็นที่ยอมรับเพราะต้องคำนึงถึงศักยภาพการจ่ายของนายจ้าง ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ประสิทธิภาพแรงงานประกอบด้วย
“ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่งมีการปรับขึ้นเมื่อ 1 ต.ค. 65 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 328-354 บาทต่อวัน ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ยอมรับว่ามีหลายๆ พรรคที่เน้นการใช้นโยบายลดแลกแจกแถม หรือประชานิยม เหมือนกับการเลือกตั้งทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะเป็นเครื่องมือและเป็นนโยบายที่เห็นภาพชัดเจน ซึ่งแต่ละพรรคการเมืองมั่นใจว่าจะเข้าถึงประชาชนและเอาชนะพรรคคู่แข่งได้ และการขึ้นค่าจ้างก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ใช้หาเสียงก็คงต้องมาติดตามหลังมีรัฐบาลแล้วว่าจะดำเนินงานในรายละเอียดอย่างไรกันแน่ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นช่วงปลายปี” นายธนิตกล่าว
ทั้งนี้ ยอมรับว่าการหาเสียงของพรรคการเมืองส่วนใหญ่ยังคงไม่มีแนวทางหรือนโยบายในการสร้างความยั่งยืนและการเติบโตทางเศรษฐกิจประเทศในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรมมากนัก และหากมุ่งเน้นแต่การใช้เงินงบประมาณ
ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นกับภาษีฯ ต่างๆ เพิ่มขึ้นซึ่งไม่ได้เป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจไทยในอนาคตท่ามกลางคนจนที่เพิ่มขึ้นสะท้อนจากจำนวนที่ลงทะเบียนรับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐถึง 20 ล้านคน
สำหรับภาวะการส่งออกของไทยปี 2566 ในไตรมาสแรกปีนี้มีแนวโน้มที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องโดยมีสัญญาณที่ตู้คอนเทนเนอร์สำหรับการส่งสินค้ากลับมาว่างอีกครั้งซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มถดถอยโดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯและสหภาพยุโรป (อียู) หรือแม้แต่จีนเองเศรษฐกิจก็ยังคงฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ ดังนั้นภาพรวมการส่งออกปี 2566 ของไทยน่าจะโต 3% ถึง -1% เมื่อเทียบกับปีก่อน
“เศรษฐกิจสหรัฐฯ และอียูเป็นตลาดหลักส่งออกไทยเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่ผ่านมาและส่งผลให้เกิดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องทำให้เศรษฐกิจเริ่มถดถอยกำลังซื้อภาพรวมของโลกลดต่ำจึงกระทบส่งออกไทย ซึ่งผมเองอยู่ในธุรกิจโลจิสติกส์เห็นภาพได้จากตู้คอนเทนเนอร์ที่กลับมาว่าง รวมถึงค่าระวางเรือ (Freight) ที่ลดต่ำลงมาก และการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบยังคงชะลอตัว” นายธนิตกล่าว
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของแรงงานไทยกลับมีทิศทางที่ขาดแคลนทั้งแรงงานมีทักษะ และไร้ทักษะที่คาดจะขาดแคลนประมาณ 5 แสนคนเนื่องจากภาคท่องเที่ยวและบริการกลับมาฟื้นตัว ขณะเดียวกันแรงงานที่เป็นเด็กจบใหม่เริ่มลดลงเพราะไทยเริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัย และแรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่อยากอยู่ในระบบตลาดแรงงานโดยมักจะทำงานอิสระหรือฟรีแลนซ์ ขณะเดียวกันแรงงานเดิมที่กลับไปยังภูมิลำเนาช่วงโควิด-19 ระบาดไม่กลับเข้ามาทำงานในระบบต่อ เหล่านี้จึงเป็นแรงกดดันต่อตลาดแรงงานของไทย
“ขณะนี้เด็กจบใหม่มีเทรนด์ที่เน้นทำงานอิสระมากขึ้น ชอบใช้ชีวิตแบบช้าๆ หรือ Slow life งานบางอย่างก็ไม่ทำจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นอีก ส่งผลให้ตลาดแรงงานวันนี้เป็นของลูกจ้าง โดยลูกจ้างเป็นคนเลือกนายจ้างแล้วในปัจจุบันโดยเฉพาะแรงงานระดับมีทักษะนายจ้างต้องรักษาเอาไว้” นายธนิตกล่าว