PTTGC ลั่นผลดำเนินงานปีนี้เติบโตขึ้นกว่า 6.8 แสนล้านบาท มาจากปริมาณการผลิตที่เพิ่ม 14-15% การปิดซ่อมบำรุงน้อยลงและราคาปิโตรเคมีขยับสูงขึ้นจากจีนเปิดประเทศ
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC)(PTTGC) เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทมีผลการดำเนินงานดีขึ้นกว่าปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 678,267 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 8,752 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 14-15% จากปีก่อน เนื่องจากโรงงานผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงของบริษัท Kuraray GC Advanced Material (KGC) ที่ร่วมทุนกับ บริษัท Kuraray และบริษัท Sumitomo ของประเทศญี่ปุ่น เพื่อผลิต High Heat Resistant Polyamide-9T (PA-9T) จำนวน 13,000 ตันต่อปี และ Hydrogenated Styrenic Block Copolymer (HSBC) จำนวน 16,000 ตันต่อปีเปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ รวมทั้งปีนี้มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานโอเลฟินส์ หน่วยที่ 2 และโรงอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2 น้อยกว่าปี 2565 ขณะเดียวกัน รับรู้รายได้จาก allnex และโครงการรีไซเคิลพลาสติก ENVICCO เพื่อผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ระดับ Food Grade แห่งแรกในไทย และใหญ่ที่สุดในอาเซียน
ส่วนแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมี บริษัทคาดว่าราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในครึ่งหลังปี 2566 จะปรับตัวสูงขึ้นกว่าช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ที่มีราคาทรงตัว ขยับดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนจากจีนเปิดประเทศ ทำให้ความต้องการใช้ปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นบ้าง ควบคู่กับนโยบายบริษัทในการควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผลประกอบการปีนี้ดีกว่าปี 2565
นายคงกระพันกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่สหรัฐอเมริกาว่า โครงการดังกล่าวชะลอการลงทุนไปก่อน แม้ว่าจะเป็นโครงการที่ดี อยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบที่มีราคาถูก แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ดี การตัดสินใจลงทุนโครงการขนาดใหญ่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และขึ้นอยู่กับการมีพันธมิตรร่วมทุนอย่างน้อย 1-2 รายเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนด้วย
แม้ว่าบริษัทฯ จะชะลอโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ แต่บริษัทแสวงหาโอกาสการลงทุนโครงการรีไซเคิลและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐฯ มีต้นทุนการผลิตก๊าซฯ ที่ถูก รวมทั้งนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับความยั่งยืนที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน
สำหรับผลประกอบการบริษัทในปี 2565 มีรายได้จากการขาย 678,267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% โดยกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) 49,134 ล้านบาท ลดลง 13% ส่วนแบ่งกำไร 2,908 ล้านบาท ลดลง 58% และขาดทุนสุทธิ 8,752 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นจากสงครามรัสเซียกับยูเครน ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่กำลังการผลิตปิโตรเคมีของโลกมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น กดดันราคาขายปรับตัวลดลง