ผู้จัดการรายวัน 360 - “บู๊ทส์” ชูไทยตลาดสำคัญในเอเชีย มีลุ้นเป็นกรณีศึกษากลยุทธ์การตลาด โดยเฉพาะแคมเปญ “มิกซ์แอนด์แมตช์” ที่ถูกดันขึ้นเป็นซิกเนเจอร์แคมเปญแล้ว ชู 4 กลยุทธ์หลักลุย
นางสาวอรวรรณ พงศ์พานิช Head of Customer Experience บริษัท บู๊ทส์ รีเทล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่บริษัทแม่ของบู๊ทส์ให้ความสำคัญและยังเป็นตลาดที่สร้างรายได้หลักให้กับบู๊ทส์ในเอเชียด้วย และมีโมเดลการตลาดบางอย่างที่บู๊ทส์ประเทศไทยทำขึ้นมา และประสบความสำเร็จ ซึ่งบริษัทแม่ก็ให้ความสนใจเช่นกัน ที่จะนำโมเดลการตลาดบางอย่างไปปรับใช้ในประเทศอื่น
ล่าสุดก็คือแคมเปญ “มิกซ์แอนด์แมตช์ 1 แถม 1 คละได้” ซึ่งบู๊ทส์ไทยได้เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปี 2564 และประสบความสำเร็จอย่างดี ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การทำตลาดที่ทำได้ดี ทำให้บริษัทแม่มีความสนใจ
ทั้งนี้ แคมเปญดังกล่าวได้กลายเป็นแคมเปญหลักหรือซิกเนเจอร์แคมเปญไปแล้ว โดยวางแผนที่จะทำปีละ 4 ครั้งหรือทำทุกไตรมาส จากที่แต่ละปีบริษัทจะมีแคมเปญการตลาดใหญ่ๆ ประมาณ 8-12 แคมเปญ และยังเป็น 1 ใน 4 กลยุทธ์หลักของบู๊ทส์ที่จะดำเนินธุรกิจในปี 2566 นี้ด้วย เพื่อรองรับกับตลาดสินค้าบริการสุขภาพและความงามที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งแคมเปญนี้สามารถที่จะรักษาฐานลูกค้าเก่าและช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ได้ด้วย โดยคาดว่าในปีนี้ตลาดรวมรีเทลทั้งระบบจะเติบโต 9% จากมูลค่า 121,896 ล้านบาท ส่วนตลาดรวมรีเทลด้านสุขภาพจะเติบโต 13%
“จากวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของคนไทยและต้องการความคุ้มค่าจากทุกการใช้จ่าย จากผลสำรวจ** พบว่านักชอปไทยชอบการซื้อสินค้าที่จัดโปรโมชัน และยังทำการตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ พบว่าการสร้างประสบการณ์ที่ดีเป็นอีกปัจจัยสำคัญสำหรับนักชอปไทย โดย 75% ของนักชอปจะยอมจ่ายเงินมากขึ้น ถ้าแบรนด์หรือร้านค้านั้นสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพวกเขาได้ ซึ่งผลสำรวจเทรนด์ความงามระดับโลกปี 2566 เผยว่าความงามและสุขภาพที่ดีในทุกช่วงอายุเป็นการช่วยยกระดับ ฟื้นฟูจิตใจให้ดีขึ้นหลังจากวิกฤตโควิด-19 และยังพบว่าคนไทยมากกว่า 65% มีความใส่ใจกับการดูแลภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ” นางสาวอรพรรณกล่าว
สำหรับ 4 กลยุทธ์หลักประกอบด้วย 1) Fully Integrated Omnichannel บู๊ทส์อยู่เคียงข้างคนไทย พร้อมมอบประสบการณ์ชอปปิ้งแบบไร้รอยต่อ ไม่เพียงแต่ง่าย ถูกต้อง ตรงใจกับพื้นที่ภายในร้าน แต่รวมถึงการเข้าถึงช่องทางหลากหลายทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ , 2) Customer Driven Store Format บู๊ทส์รู้ใจลูกค้าคนไทย จัดทำร้านค้าแบบใหม่ แบ่งเป็น 3 หมวดหมู่ ได้แก่ เน้นสินค้าสุขภาพ เน้นสินค้าความงาม และ ผสมผสานระหว่างสินค้าสุขภาพและความงาม นอกจากนี้ ยังคัดสรรสินค้าจากอินไซต์ลูกค้า ให้มีสินค้าสุขภาพและความงามตรงใจลูกค้าแต่ละพื้นที่
3) Product Innovation นำเสนอนวัตกรรมสินค้าคุณภาพภายใต้แบรนด์บู๊ทส์ ในราคาจับต้องได้ และสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟนำเข้าจากอังกฤษ ได้แก่ No7 / Soap & Glory/ Ted Baker มีสินค้าสุขภาพและความงามที่หลากหลาย ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เกือบทุกเดือน และ 4) Upgrade Boots mix & match ตอบอินไซต์นักช้อปไทย ด้วยการส่งโปรโมชันเด็ดพิเศษเฉพาะที่ร้านบู๊ทส์ พร้อมนำเสนอสื่อสร้างสรรค์ใหม่ๆ ทั้งหน้าร้านและสื่อ 360 องศาอย่างจัดเต็มต่อเนื่องตลอดทั้งปี
“บู๊ทส์พร้อมอยู่เคียงข้างคนไทยสู้ทุกวิกฤตเศรษฐกิจ จึงนำอินไซต์ของนักชอปไทยส่งเป็นโปรโมชัน “บู๊ทส์ มิกซ์แอนด์แมตช์” (Boots Mix & Match) มอบอิสระการชอป ให้เลือกคละสินค้าสุขภาพและความงามที่ใช่แบบ 1 แถม 1 คละได้ มิกซ์แอนด์แมตช์สินค้าที่ชอบ แบบไม่ต้องตุนของซ้ำเดิมเกินความจำเป็น ซึ่งหลังจากเปิดตัวในปี 2564 ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก จึงจัดเป็นโปรโมชันต่อเนื่อง โดยโปรฯ นี้ช่วยกระตุ้นยอดขายของร้านบู๊ทส์ให้เติบโตทุกช่องทางถึงสองเท่า
นางสาวอรพรรณกล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการต้อนรับซัมเมอร์ที่ถือเป็นไฮซีซันสำหรับตลาดรีเทล เราจึงจัดโปรโมชัน “บู๊ทส์ มิกซ์แอนด์แมตช์” ครั้งที่ 5 ด้วย tagline คละของที่ใช่ ชอปยังไงก็คุ้ม โดยมีสินค้าร่วมจัดโปรโมชันกว่า 1,200 รายการ ครบครันทุกหมวดหมู่ เช่น สุขภาพ ความงาม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์กันแดด ฯลฯ แบรนด์ดังอย่างแบรนด์บู๊ทส์ No7 / Soap & Glory สินค้าคุณภาพภายใต้แบรนด์บู๊ทส์ และพาร์ตเนอร์แบรนด์ เช่น โอเลย์ นีเวีย ยูเซอริน บานาน่าโบ๊ท แบล็คมอร์ เมก้าวีแคร์ จัดโปรฯ แบบ 1 แถม 1 คละได้ มิกซ์แอนด์แมตช์สินค้าที่ชอบได้ตามใจ นอกจากนี้ ลูกค้าบู๊ทส์ยังได้รับคำแนะนำโดยเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญจากบู๊ทส์ ที่พร้อมให้คำแนะนำ
พิเศษเฉพาะที่ร้านบู๊ทส์ หรือช่องทางออนไลน์ ได้แก่ Boots App / LINE Chat & Shop / Boots e-commerce และ delivery platform
ส่วนแผนขยายสาขานั้น ยังคงเปิดใหม่เฉลี่ย 50 สาขาต่อปี โดยจะขยายไปยังจังหวัดรองและอำเภอระดับรองมากขึ้น จากปัจจุบันมีรวม 240 สาขาแล้ว ในช่วง 25 ปีที่ทำธุรกิจในไทย ซึ่งล่าสุดได้ทำการปรับโฉมสาขาหลัก 5 สาขาใหม่แฟลกชิปสโตร์ คือ สยามพารากอน เอ็มโพเรียม เซ็นทรัลเวิลด์ สามย่านมิตรทาวน์ และ เอ็มควอเทียร์ และมีสมาชิกรวมประมาณ 1 ล้านรายแล้ว