ส.อ.ท.จับตากรณีแบงก์ SVB สหรัฐฯ ล้มใกล้ชิดว่ามาตรการต่างๆ ของสหรัฐฯ ที่ออกมาจะสกัดกั้นการลุกลามเป็นโดมิโนได้หรือไม่ แต่เชื่อมั่นแบงก์ไทยยังแกร่งไม่ซ้ำรอยหลังมีบทเรียนวิกฤตปี 40 โดยสิ่งที่กังวลคือเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องฉุดเศรษฐกิจโลกถดถอยส่งผลกระทบการส่งออกไทยผันผวนหนักครึ่งปีแรกในทิศทางขาลง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณีล่าสุดที่ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ (SVB) ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 16 ของสหรัฐฯ ต้องปิดตัวลง ว่า กระทรวงการคลังและทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ยืนยันประชาชนที่ฝากเงินไว้ที่ SBV รวมถึงธนาคารซิกเนเจอร์ แบงก์ (Signature Bank) ในรัฐนิวยอร์กซึ่งถูกสั่งปิดไปแล้วนั้น สามารถเข้าถึงเงินฝากของตนได้เต็มจำนวน ขณะที่เฟดจะจัดตั้งโครงการ "Bank Term Funding Program" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องสถาบันการเงินต่างๆ ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการล้มละลายของ SVB ถือเป็นสัญญาณที่ดี จึงต้องติดตามใกล้ชิดว่าภาพรวมจะมีทิศทางอย่างไร แต่สำหรับไทยยังเชื่อมั่นว่าสถาบันการเงินของไทยโดยเฉพาะภาคธนาคารมีความแข็งแกร่งสะท้อนจากผลประกอบการที่ดี เนื่องจากมีบทเรียนจากวิกฤตต้มยำกุ้งทำให้มีความระมัดระวังในการบริหารงาน
สำหรับภาคอุตสาหกรรมแล้ว สิ่งที่กังวลมาตลอดและยังคงต้องติดตามต่อไปคือ การที่เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องซึ่งจะมีผลให้เศรษฐกิจของโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) มากขึ้นและจะกระทบต่อประเทศเกิดใหม่ที่มีฐานะการคลังอ่อนแอคิดเป็น 1 ใน 3 ของทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งประเด็นนี้จะเห็นถึงกระทบภาคส่งออกมาตั้งแต่เดือน ต.ค. 65 จนถึง ม.ค. 66 ที่การส่งออกมีมูลค่าติดลบต่อเนื่องจึงทำให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ต้องลดคาดการณ์การส่งออกปี 2566 จากเดิมโต 1-2% เป็น 0 ถึง -1% จากปีก่อน ดังนั้น การส่งออกของไทยครึ่งปีแรกจึงมีแนวโน้มผันผวนในลักษณะขาลงไปตามสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
“การล้มลงของ SVB ระยะสั้นอาจทำให้ตลาดเงินตลาดทุนผันผวน และหลายคนมองว่าเป็นแค่จุดเริ่มต้น ดังนั้นต้องดูนโยบายที่สหรัฐฯ ออกมาว่าจะสามารถสกัดกั้นการลุกลามเป็นโดมิโนกลายเป็นวิกฤตใหญ่ได้หรือไม่ในระยะต่อไป โดยเฉพาะที่หลายฝ่ายกังวลคือแบงก์ขนาดกลางและเล็กของสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ท่ามกลางการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่ยังคงส่งสัญญาณจะขยับดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายที่อาจไปแตะระดับ 5.25-5.50%” นายเกรียงไกรกล่าว