ผู้จัดการรายวัน 360 – ซีพีเอ็น ซุ่ม ผุด เมกะมิกซ์ยูส 5 แห่ง ลงทุนไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อแห่ง นำร่องไปก่อนคือ ดุสิต เซ็นทรัล ปาร์ค ขณะที่แผน 5 ปี ทุ่มงบลงทุนรวม 1.3 แสนล้านบาท สยายปีกครอบคลุม 30 เมืองในไทยและอาเซียน
นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามแผนระยะยาวของบริษัทฯภายใน 5-10 ปี มีแผนที่จะพัฒนาโครงการในลักษณะเมกะมิกซ์ยูส ประมาณ 5 โครงการ เพื่อยกระดับกรุงเทพฯเพื่อเทียบชั้นมาตรฐานมหานครระดับโลกอย่างนิวยอร์ก, โตเกียว หรือโซล โดยแต่ละโครงการต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท และมีพื้นที่อย่างน้อย 25 ไร่ขึ้นไป และมีพื้นที่ค้าปลีกขั้นต่ำมากกว่า 350,000 ตารางเมตรขึ้นไป
ทั้งนี้แนวทางของเมกะมิกซ์ยูสจะเป็นโครงการที่มีลักษณะของการร่วมทุนหลายรูปแบบจำนวน 4 โครงการ ที่เจรจากันอยู่ในขณะนี้ และอีกโครงการอาจจะดำเนินการเองไม่ได้ร่วมทุน และบริษัทฯมีที่ดินรองรับทุกโครงการแล้ว คาดว่าปีนี้จะสามารถเปิดเผยโครงการได้อย่างน้อย 1 โครงการ ซึ่งผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า อาจจะเป็นไปได้ว่าคือโครงการที่่กำลังก่อสร้างขณะนี้ที่อยู่เลยศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าวไปเล็กน้อยและใกล้กับสี่แยกรัชโยธิน
โดยโครงการแรกที่เปิดตัวไปแล้วคือ โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมทุนกับทางกลุ่มดุสิตธานี ตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ขึ้นมาเพื่อดำเนินโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค บริเวณโรงแรมดุสิตธานีเดิม บนหัวมุมถนนสีลม คาดว่า จะก่อสร้างแล้วเสร็จเปิดได้ครบทั้งโครงการประมาณ ปี 2568 นี้ ด้วยงบลงทุนรวมมากกว่า 46,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยศูนย์การค้าเซ็นทรัลปาร์ค อาคารสำนักงานระดับเกรดเอบวก ที่พักอาศัยแนวสูงระดับลักซ์ชัวรี่ และโรงแรมระดับโกลบอลเลเจนดารีไอคอนนิค
ขณะที่แผนช่วง 5 ปีจากนี้คือปี 2566-2570 จะใช้งบลงทุนรวม 135,000 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการเมกะมิกซ์ยูสก็จะอยู่ในงบประมาณนี้ด้วยบางส่วน ซึ่งคาดว่ารายได้รวมในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่มากกว่า 70,000 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายการเติบโตต่อปีไม่ต่ำกว่า 10% ลงทุนเฉลี่ยปีละ 25,000 – 35,000 ล้านบาท
เมื่อรวมทุกธุรกิจรวมกันซึ่งประกอบด้วย ศูนย์การค้า สัดส่วนรายได้หลัก โรงแรม อาคารสำนักงาน ที่พักอาศัย โดยมีทั้งหมดมากกว่า20โครงการ ครอบคุลม30เมืองในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย ศูนย์การค้า50แห่ง,คอมมูนิตี้ มอลล์ 17แห่ง,ที่อยู่อาศัย90แห่ง,โรงแรม37แห่ง,อาคารสำนักงาน13แห่ง และพื้นที่ใหม่ๆFlex Officesอีก4แห่ง โดยจะทำให้จำนวนโครงการมิกซ์ยูสเพิ่มขึ้นจาก18โครงการในปี2566เป็น25โครงการในปี2570
โดยภายใน5ปี ทราฟฟิคในโครงการของเราจะเพิ่มขึ้นจาก1.2ล้านคนเป็น1.8ล้านคนต่อวัน หรือคิดเป็นการมาใช้บริการ657ล้านครั้งต่อปี สำหรับในปี2566นี้จะมีมิกซ์ยูสที่ครบทุกองค์ประกอบเพิ่มขึ้นได้แก่ เซ็นทรัล อุบลราชธานี,เซ็นทรัล อยุธยา และเซ็นทรัล ระยอง
จากปัจจุบันที่บริษัทฯมีรายได้รวมปี 2565 ที่ 37,150 ล้านบาท เติบโต 28% มีกำไร 10,760 ล้านบาท เติบโต 51% มีพื้นที่ค้าปลีกเช่าประมาณ 2.3 ล้านตารางเมตร มีอัตราการเช่าพื้นที่ 90%
โครงการใหม่ที่ประกาศเปิดตัวปีนี้ ล่าสุดคือ เซ็นทรัลกระบี่ ลงทุน 4,500 ล้านบาท เป ิดบริการช่วงไตรมาส4/2567เป็นมิกซ์ยูสเมืองท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นThe New Gateway to Southern Paradiseที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ประกอบด้วยศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย และโรงแรม เติมเต็มศักยภาพของกระบี่ที่เป็นเมืองที่มีworld’s most famous islandsและเป็นTop 5จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยจะเป็นthe first & largest complete landmarkที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดและประเทศ ทั้งนี้กระบี่ มีรายได้ครัวเรือนประมาณ 350,000 บาทต่อปีต่อครัวเรือน ในปี2562 มีนักท่องเที่ยวรวม 7 ล้านคน
ดังนั้น เราจึงต้องการสร้าง ‘วิวัฒนาการ’ ให้เกิดขึ้น เดินหน้าสู่โมเดลธุรกิจแห่งอนาคตเป็น ‘The Ecosystem for All’ โดยมีธุรกิจ Retail เป็นแกนหลัก ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
1) The 360-Degree Centre of Life: เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ครบทุกองศาทั้ง Offline & Online ทั้ง shop-eat-work-play-stay-live ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 365 วัน ทุกที่ ทั่วประเทศ โดยภายใน 5 ปี ทราฟฟิคในโครงการของเราจะเพิ่มขึ้นจาก 1.2 ล้านคนเป็น 1.8 ล้านคนต่อวัน หรือคิดเป็นการมาใช้บริการ 657 ล้านครั้งต่อปี สำหรับ ในปี 2566 นี้จะมีมิกซ์ยูสที่ครบทุกองค์ประกอบเพิ่มขึ้น ได้แก่ เซ็นทรัล อุบลราชธานี, เซ็นทรัล อยุธยา และเซ็นทรัล ระยอง
โดยในแผนลงทุน 5 ปี (ปี 2566-2570) ลงทุนทุกธุรกิจรวมกว่า 135,000 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 25,000-30,000 ล้านบาท โดยมีทั้งหมดมากกว่า 200 โครงการ ครอบคุลม 30 เมืองในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย ศูนย์การค้า 50 แห่ง, คอมมูนิตี้ มอลล์ 17 แห่ง, ที่อยู่อาศัย 90 แห่ง, โรงแรม 37 แห่ง, อาคารสำนักงาน 13 แห่ง และพื้นที่ใหม่ๆ Flex Offices อีก 4 แห่ง โดยจะทำให้จำนวนโครงการมิกซ์ยูสเพิ่มขึ้นจาก 18 โครงการในปี 2566 เป็น 25 โครงการในปี 2570
นอกจากนี้ ยังได้วางแผนระยะยาว 5-10 ปีในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส Mega Projects รวม 5 โครงการ ซึ่งจะยกมาตรฐานให้กรุงเทพฯ เทียบเท่ามหานครระดับโลก อย่างนิวยอร์ก, โตเกียว หรือโซล โดยโครงการแรก Dusit Central Park จะทยอยเปิดตัวในปี 2567-2568 รวมถึงอีก 4 โครงการใหญ่ที่แต่ละโครงการมีพื้นที่ GFA กว่า 350,000 ตร.ม. และเงินลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท
2) Total B2B2C Solutions: การเชื่อมโยงการทำธุรกิจของพันธมิตรคู่ค้า สู่การใช้ชีวิตของลูกค้าที่ครบวงจร ด้วยการลงทุนด้าน Digital Transformation & Technology Infrastructure ปีละ 300-500 ล้านบาท โดยได้มีการพัฒนา Data-driven Omnichannel ที่มีประโยชน์กับลูกค้า คู่ค้า และสังคม
3) The Place Making for Sustainable Future: ให้ความสำคัญทั้งด้าน ‘คน’ ด้วยการส่งเสริม Local Wealth โดยใน 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ จะมีพนักงานกว่า 6,500 คน พร้อมผลักดันการจ้างงานใน Ecosystem อีกกว่า 100,000 ตำแหน่ง การเปิดพื้นที่ค้าขายฟรีให้เกษตรกรและ SMEs ทั่วประเทศคิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาทต่อปี และการสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐและ CSR รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาทต่อปี รวมไปถึงการดูแล ‘สิ่งแวดล้อม’ เดินหน้าตามโรดแมป NET Zero 2050 อาทิ การประหยัดพลังงานไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท, ติดตั้ง Solar Rooftop และขยาย EV Charger Station อย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ, การเพิ่มพื้นที่สีเขียว รวมถึงการจัดการขยะและขยาย Recycle Shops ในศูนย์การค้า”
ธุรกิจศูนย์การค้า ในฐานะหัวใจสำคัญของ Ecosystem เน้นการเป็น No.1 Market Leader โดยมี ไฮไลท์สำคัญ ได้แก่
1) การเปิดตัว 4 โครงการใหม่ในปี 2566-2567:
• Central Westville เปิด Q4/2566 งบลงทุนกว่า 6,200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็น The Next Evolution of Semi-Outdoor Model ที่จะพลิกโฉมย่านราชพฤกษ์ ตอนนี้ Occupancy ร้านค้าเกือบเต็ม 100% ตอกย้ำความสำเร็จเช่นเดียวกับที่ Central Eastville
• Central Nakhon Sawan เปิด Q1/2567 งบลงทุน 5,800 ล้านบาท และ Central Nakhon Pathom เปิด Q2/2567 งบลงทุน 8,200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่ยกระดับศักยภาพของภูมิภาค เชื่อมต่อโซนภาคเหนือ และขยายสู่ภาคตะวันตกของประเทศ
• เผยโครงการใหม่ล่าสุด Central Krabi งบลงทุน 4,500 ล้านบาท เปิดช่วง Q4/2567 มิกซ์ยูสเมืองท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็น The New Gateway to Southern Paradise ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ประกอบด้วยศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย และโรงแรม เติมเต็มศักยภาพของกระบี่ที่เป็นเมืองที่มี world’s most famous islands และเป็น Top 5 จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยจะเป็น the first & largest complete landmark ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดและประเทศ
2) การขยายและรีโนเวทเพื่อ สร้าง Big Impact ได้แก่ เซ็นทรัล พัทยา ที่ได้มีการปรับโฉมโรงแรม Hilton ทำให้มียอดเข้าพักมากกว่าปี 2019 แล้วและเตรียมรีโนเวทศูนย์การค้า เพิ่มโซนต่างๆ ตอบรับการเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก โดยจะมีแบรนด์ Bridgeline และ luxury เพิ่มเติม ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และส่วนใหญ่นิยมสินค้าแบรนด์เนม ความสำเร็จของ Central Ramindra ที่มีทราฟฟิคเพิ่มขึ้นเท่าตัว เตรียมเดินหน้าส่วนขยายของ Central Westgate ที่ประสบความสำเร็จเป็น Super Regional Mall ที่ทราฟฟิกดีต่อเนื่อง เติมเต็มด้วย New Anchor ใหญ่ ขยายพื้นที่ค้าขายเพิ่ม และเพิ่มอาคารจอดรถ และยังมี Renovation อื่นๆ ที่ตั้งใจทำให้เป็นศูนย์การค้าที่ดีที่สุดของทุกย่าน อีกทั้ง ยังมีการปรับโฉมเซ็นทรัล อุบลราชธานี เตรียมรับโรงแรม Centara เติมเต็มมิกซ์ยูส, รวมถึงเซ็นทรัล มารีนา ปิ่นเกล้า แจ้งวัฒนะ เชียงใหม่ ขอนแก่น อีกด้วย
3) เป็น Experiential Place Making ระดับโลก นำโดย centralwOrld ตอกย้ำ Global Landmark ที่สร้างปรากฏการณ์ด้วยแบรนด์ระดับโลกเลือกมาเปิดตัวเป็นที่แรก เตรียมมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ได้แก่ ร้านเบอร์เกอร์ระดับโลก Shake Shack ที่เตรียมเปิดปลายเดือนมีนาคมนี้เป็นสาขาแรกในไทย รวมถึง Central Phuket ซึ่งเป็น Luxury mall แห่งเดียวของไทยที่ตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวระดับโลก เตรียมต้อนรับแบรนด์ลักชูรี่ระดับโลก
4) เดินหน้า 5 Mega Mixed-use Projects ที่แต่ละโครงการใหญ่เทียบเท่า centralwOrld นำโดยโครงการ Dusit Central Park ภายใต้การร่วมทุนกับกลุ่มดุสิตธานี งบลงทุนรวม 46,000 ล้านบาท ซึ่งเป็น One-of-a-kind Mixed-Use Project ระดับโลก ที่เชื่อมพื้นที่สีเขียวให้เข้ากับชีวิตเมืองได้อย่างลงตัว โดยมี 4 องค์ประกอบที่สำคัญที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ โดยมีศูนย์การค้า ‘Central Park’ ที่เชื่อมต่อทุกส่วนเข้าด้วยกัน โดยมีคอนเซ็ปต์ ‘Here for curated experience and inspiration’ ที่จะสร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจใหม่ให้คนกรุงเทพ, อาคารสำนักงาน ‘Central Park Offices’ ระดับ Grade A+ ที่ตั้งใจจะเป็น Global Prototype ของ Future Workplace, Ultra-Luxury Branded Residence, และโรงแรมระดับ Global Legendary Iconic แห่งเดียวของไทย
ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ เปิดตัวโปรเจ็คใหญ่ Marché Thonglor มูลค่าโครงการรวม 2,000 ล้านบาท(Soft Launch 26 มี.ค. 66) เป็น Flagship of Community mall และ New Landmark ที่ใหญ่และครบครันที่สุดใจกลางทองหล่อ จับกลุ่มกำลังซื้อสูง, คนทำงานจาก Office ที่อยู่ภายในโครงการเดียวกัน, และ Expat ชาวต่างชาติ เติมเต็มด้วยพื้นที่สีเขียวกว่า 2,300 ตร.ม. / Pet-Friendly / เป็น Food Destination ใหญ่ที่สุดในย่าน มีที่จอดรถ 24 ชม. และยังจะพัฒนาโครงการปัจจุบันที่นวมินทร์ ซิตี้ และปรับปรุง 4 แห่งในปีนี้
ธุรกิจที่อยู่อาศัย ชูกลยุทธ์สำคัญคือ Best Location & Best in class ในทุกโลเคชั่น อยู่ติดหรือใกล้ศูนย์การค้าเซ็นทรัล และเริ่มขยายโปรเจ็คที่อยู่ติดโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ด้วย โดยนำจุดแข็งในเรื่องการทำ Synergy กับแบรนด์ชั้นนำ ในเครือ Central Group แผนปี 2566 เตรียมเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 9,000 ล้านบาท ได้แก่ คอนโดมิเนียม 3 โครงการ คือ ESCENT เพชรบุรี, บุรีรัมย์ และนครศรีธรรมราช และโครงการแนวราบ 4 โครงการ คือ บ้านนิรติ นครศรีธรรมราช และแบรนด์ใหม่ บ้านนิรดา พระราม 2, อุทยาน และเอกชัย ในเขตกรุงเทพฯ คาดว่าภายในปี 2570 จะครอบคลุม 27 จังหวัด นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ Central Pattana Residents รวมทุกความสะดวกสบายเพื่อการอยู่อาศัยไว้ในแอปเดียว เพื่อลูกบ้านโดยเฉพาะ
ธุรกิจอาคารสำนักงาน ชูจุดแข็ง Strategic Locations in CBD Bangkok โดยเตรียมเปิดเผยโปรเจ็คใหญ่ Central Park Offices ภายในโครงการ Dusit Central Park โดยเป็น World-Class Professional Hub แห่งใหม่รองรับบริษัทชั้นนำระดับโลก บนโลเคชั่น Super Core CBD เป็น interchange station ทั้งรถไฟฟ้า BTS และ MRT และมีพื้นที่สีเขียวทั้งจาก Rooftop Park ขนาดใหญ่ ที่เชื่อมต่อกับสวนลุมพินี และบนชั้นพิเศษ ยังมี Private Outdoor Gardens อีกด้วย และเป็น World-Class Design and Facilities มุ่งเน้นการพัฒนาตามมาตรฐาน World-class LEED Gold Certified และการ Customized พื้นที่เพื่อธุรกิจทุกขนาด
ธุรกิจโรงแรม ชูความเชี่ยวชาญของเซ็นทรัลพัฒนาในการพัฒนาทำเลศักยภาพและเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ พร้อมยกระดับมาตรฐานการเข้าพักอาศัยในโรงแรมและตอบโจทย์ทุกจุดประสงค์ของการเดินทาง ในปี 2566 นี้จะเปิดโรงแรมครบทุก 3 แบรนด์ และจะมีโรงแรมทั้งสิ้น 10 แห่ง 1,600 ห้อง สำหรับโครงการใหม่ที่เตรียมเปิดปีนี้ ได้แก่ 1) แบรนด์ Centara: Upscale Full-Service เตรียมเปิด Centara Ubon’ และ ‘Centara Ayutthaya’, 2) แบรนด์ Centara One: Lifestyle Midscale เตรียมเปิดแห่งแรกคือ Centara One Rayong และ 3) แบรนด์ GO! Hotel: Premium Budget Hotel และเป็น Pet-Friendly เตรียมเปิดที่โรบินสันบ้านฉาง, เซ็นทรัล ศรีราชา และเซ็นทรัล ชลบุรี
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ขับเคลื่อนสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all ด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคุณภาพผู้คนและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อมให้เติบโตควบคู่ไปกับการเดินหน้าทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อนประเทศไทย