xs
xsm
sm
md
lg

MINTโชว์ Q4/65 กำไรพุ่ง 2.4 พันล.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 -MINT เปิดผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2565 สถานะแข็งแกร่งด้วยกำไรจากการดำเนินงาน 2.4 พันล้านบาท สะท้อนถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของ MINT ภายหลังสถานการณ์ COVID-19

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) รายงานผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งประจำไตรมาส 4 ปี 2565 โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่จำนวน 2.4 พันล้านบาท ซึ่งเติบโตในอัตราร้อยละ 44 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 18 จากไตรมาสก่อน ซึ่งผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งดังกล่าวเป็นผลมาจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของ MINT ในการเพิ่มรายได้ บริหารจัดการต้นทุน และเสริมสร้างประสิทธิภาพทางการดำเนินงาน โดยการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศทั่วโลกอีกครั้งและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นมีส่วนช่วยในการฟื้นตัวของทั้งสามหน่วยธุรกิจของบริษัทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
 
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มโรงแรมในประเทศไทยและมัลดีฟส์ ธุรกิจอนันตรา เวเคชั่น คลับ และเครือร้านอาหารระดับโลกภายใต้กลุ่ม Wolseley Group ในประเทศสหราชอาณาจักร สำหรับปี 2565 MINT มีกำไรจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 2.0 พันล้านบาท ซึ่งพลิกฟื้นจากผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 9.3 พันล้านบาทในปี 2564 ทั้งนี้ หากนับรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว MINT รายงานกำไรสุทธิตามงบการเงินอยู่ที่จำนวน 1.9 พันล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2565 และ 4.3 พันล้านบาทในปี 2565 ซึ่งพลิกฟื้นจากผลขาดทุนตามงบการเงินจำนวน 1.6 พันล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2564 และ 13.2 พันล้านบาทในปี 2564


ไมเนอร์ โฮเทลส์มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 1.9 พันล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2565 ซึ่งเติบโตร้อยละ 57 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตร้อยละ 25 จากไตรมาสก่อน การเดินทางเพื่อการพักผ่อนภายในประเทศและการเดินทางเพื่อธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ประกอบกับการเดินทางระหว่างประเทศ ช่วยเพิ่มความต้องการโดยรวมในไตรมาสดังกล่าวภายหลังจากการผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการเดินทางทั่วโลก โดยรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของกลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรปและลาตินอเมริกา ประเทศมัลดีฟส์ และออสเตรเลียยังคงได้รับแรงผลักดันจากราคาค่าห้องพักที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของกลุ่มโรงแรมในประเทศไทยฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 เป็นครั้งแรกในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 นับตั้งแต่เกิดโรคระบาด

โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาค่าห้องพัก โดยรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนในเดือนธันวาคม 2565 สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ถึงร้อยละ 9 จากผลการดำเนินงานที่ดีของโรงแรมในกรุงเทพฯ ในไตรมาส 4 ปี 2565 ไมเนอร์ โฮเทลส์ได้เปิดโรงแรม Anantara Plaza Nice ในประเทศฝรั่งเศส และ The Plaza Doha by Anantara ในประเทศกาตาร์ และได้นำแบรนด์เอ็นเอชเข้าสู่ทวีปเอเชียด้วยการเปิดตัว NH Boat Lagoon Phuket Resort ในประเทศไทย ทั้งนี้ เมื่อนับรวมจำนวนโรงแรมที่เปิดใหม่ ไมเนอร์ โฮเทลส์จะมีโรงแรมทั้งหมดจำนวน 531 โรงแรมและ 76,996 ห้อง ครอบคลุม 56 ประเทศ ณ สิ้นปี 2565


ไมเนอร์ ฟู้ดมีผลกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 402 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2565 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน โดยจำนวนลูกค้าที่นั่งรับประทานอาหารภายในร้านที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยและออสเตรเลีย ช่วยลดผลกระทบจากการชะลอตัวของการดำเนินงานในประเทศจีน ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องกับโรค COVID-19 ที่เข้มงวด เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดระลอกใหญ่ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนได้มีการฟื้นตัวของการดำเนินงานอย่างแข็งแกร่งเป็นรูปตัววี ภายหลังจากการยกเลิกมาตรการการปิดพื้นที่ภายในประเทศและการกลับมาเปิดพรมแดนระหว่างประเทศอีกครั้ง

ทั้งนี้ แบรนด์หลายแบรนด์ของไมเนอร์ ฟู้ดยังคงมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยการขยายรูปแบบสาขาที่ปรับให้เหมาะสมกับแบรนด์ สถานที่ตั้ง และการเจาะกลุ่มลูกค้า โดยในไตรมาส 4 ปี 2565 แดรี่ ควีนได้นำร่องในการเปิดป๊อปอัพสโตร์ในประเทศไทย ด้วยการออกแบบที่สนุกสนาน พร้อมด้วยบริการที่นั่งและเมนูพิเศษเฉพาะช่วงเวลา นอกเหนือจากรูปแบบร้านค้าแบบดั้งเดิม ซึ่งร้านดังกล่าวเหล่านี้จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าและการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางขึ้น

นอกจากนี้ เบอร์เกอร์ คิงเปิดตัวแฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ล่าสุดภายใต้แนวคิด “Restaurant of the Future” ในประเทศไทยที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีแผนจะนำไปใช้กับร้านอื่นๆ ต่อไปเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของร้าน


นอกจากการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานแล้ว MINT ยังให้ความสำคัญกับการลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งลดลงมาอยู่ที่ 1.17 เท่า ณ สิ้นปี 2565 อีกทั้ง MINT ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานส่วนของผู้ที่หุ้นผ่านการฟื้นตัวของธุรกิจและการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ ในขณะที่จำนวนหนี้สินส่วนที่มีภาระลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการชำระคืนเงินกู้ที่มีอยู่และการหมุนสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ผ่านการขายและเข้าบริหารของโรงแรม Tivoli Coimbra ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นของ MINT ในการสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ

บริษัทได้กลับมาวางแผนกลยุทธ์ระยะยาวอย่างเต็มรูปแบบใหม่อีกครั้งภายหลังสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 และได้ปรับแผนกลยุทธ์ดังกล่าวให้สั้นลงโดยครอบคลุมระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2568 ซึ่งจะช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายทางกลยุทธ์และทางการเงินในระดับสูง เร่งการเติบโตของธุรกิจผ่านความแข็งแกร่งของแบรนด์ การมีทรัพย์สินที่มีคุณภาพสูง และพันธมิตรทางธุรกิจที่สร้างกำไร ในขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและปรับโครงสร้างธุรกิจไปสู่ดิจิทัล โดยกลยุทธ์ในการผลักดันการเติบโตดังกล่าวจะถูกขับเคลื่อนโดยทีมงานที่มีประสบการณ์ ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และการบริหารจัดการทรัพยากรทางการเงินอย่างรอบคอบ

บริษัทมีอีกหนึ่งความมุ่งมั่นที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงที่สุดให้กับผู้ถือหุ้น โดยเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะประกาศเสนอจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดสำหรับปี 2565 ในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรจากการดำเนินงานปี 2565 นอกจากนี้ จากสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานที่ฟื้นตัวในทุกธุรกิจ บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอีกครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่สิ้นสุดดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการและผู้ถือหุ้น
นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า “ผมภูมิใจเป็นอย่างยิ่งในตัวทีมงานของเราที่ร่วมกันขับเคลื่อนและส่งมอบอีกหนึ่งผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจในไตรมาส 4 ปี 2565 และเมื่อเราเข้าสู่ยุคภายหลังการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แล้ว ผมตั้งตารออีกปีแห่งความสำเร็จในปี 2566 จากแนวโน้มการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ 


นอกเหนือจากกลยุทธ์สามปีฉบับใหม่ของบริษัทแล้ว ในปี 2566 และปีต่อๆ ไป บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การคว้าโอกาสใหม่ๆ เพื่อปลดล็อกและเร่งการเติบโตและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ในขณะที่ยังคงรักษาตำแหน่งของบริษัทในฐานะผู้นำในตลาดระดับโลก เราได้กลับมาเติบโตอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง และ MINT อยู่ในฐานะที่ดีที่จะคว้าโอกาสที่น่าตื่นต้นที่รอเราอยู่ข้างหน้า”
ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท: บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจระดับสากล โดยประกอบ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ MINT ดำเนินธุรกิจโรงแรมทั้งในรูปแบบเป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุน โดยมีโรงแรมและเซอร์วิส สวีทมากกว่า 530 แห่ง ภายใต้แบรนด์ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอช, นาว, เอเลวาน่า, แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, เรดิสัน บลู และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ใน 56 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ นอกจากนี้ MINT เป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,500 สาขา ใน 24 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริเวอร์ไซด์, เบนิฮานา, ไทย เอ็กซ์เพรส, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน, เบอร์เกอร์ คิง, คอฟฟี่ เจอนี่ และกาก้า นอกเหนือจากร้านอาหารพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กว่า 1000 สาขา (เช่น S&P และเบรดทอล์ค) อีกทั้งยังเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์และรับจ้างผลิต ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ อเนลโล่, เบิร์กฮอฟฟ์, บอสสินี่, ชาร์ล แอนด์ คีธ, โจเซฟ โจเซฟ, สวิลลิ่ง เจ. เอ. เฮ็งเคิลส์ และไมเนอร์ สมาร์ท คิดส์ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minor.com


กำลังโหลดความคิดเห็น