ผู้จัดการรายวัน 360 - “แม็คกรุ๊ป” รับอานิสงส์เศรษฐกิจประเทศฟื้นหลังเปิดประเทศ ท่องเที่ยวคึกคัก ดันยอดช้อปพุ่งกระจาย รายได้ครึ่งปีทะยานแตะ 1,876 ล้านบาท กำไรสร้างสถิติสูงสุดโตต่อเนื่อง ไตรมาส 2 ปีบัญชี 2566 ทำได้ 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 และเพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังสูง 65.2% อัตรากำไรสุทธิ 22% ด้านฐานะการเงินแข็งแกร่ง เงินสดในมือทะลุ 2,110 ล้านบาท บอร์ดอนุมัติปันผลงวดกลางปี 0.45 บาทต่อหุ้น
นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปีบัญชี 2566 (1 ตุลาคม- 31ธันวาคม 2565) ว่า กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่มีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 231 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ให้อยู่ในระดับที่สูงกว่า 65.2% จากไตรมาส 1 อยู่ที่ 64.6% ส่วนอัตรากำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 22% จาก 15% เมื่อไตรมาสแรกของปี
กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 2 ไตรมาส หนุนให้ งวด 6 เดือนแรกงวดปีบัญชี 2566 (1 กรกฎาคม-31ธันวาคม 2565) มีกำไรสุทธิ 362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.3% เมื่อเทียบงวดเดียวกันมีกำไรสุทธิ 254 ล้านบาท
นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า ไตรมาส 2 ของปีบัญชี 2566 บริษัทมีรายได้การขายสินค้ารวม 1,117 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.2% จากไตรมาสแรกที่มีรายได้ 759 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 12.2% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 995 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือน มีรายได้ 1,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.9% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,433 ล้านบาท ซึ่งได้ปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังเปิดเมือง หนุนให้การท่องเที่ยวในประเทศให้กลับมาคึกคัก การปรับตัวลดลงของราคาขายปลีกน้ำมัน ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่พุ่งขึ้นแตะระดับ 50.4 ในเดือนธันวาคมจากระดับ 46.4 ในเดือนกันยายน 2565
นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า กำลังซื้อกลับเข้ามาชัดเจนเพิ่มขึ้นจากช่องทางออฟไลน์ อันได้แก่ ช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) 66%, ห้างสรรพสินค้า (Department Store) 23% , ร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) 8% และช่องทางอื่นๆ คิดเป็น 4%