เปิดตัวรถไฟ EV ต้นแบบ “ศักดิ์สยาม” ชี้ผลทดสอบมีประสิทธิภาพสูง ประหยัดต้นทุน 40-60% ลดมลพิษเสียงและอากาศ ตั้งเป้าปี 66 ดันผลิต 50 คัน พร้อมสั่งรฟท.ต่อยอด พัฒนาซ่อมบำรุงระบบรางใช้แบตเตอรี่ฮับอาเซียน
วันนี้ (11 ม.ค. 2566) ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีทดสอบการใช้งานรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ รถต้นแบบคันแรกในการพัฒนารถไฟระบบ EV on Train ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA โดยมีนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าฯ รฟท. รศ.ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สจล. พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงคมนาคม หน่วยงานภาครัฐภาคเอกชน
นายศักดิ์สยามเปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายส่งเสริมยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) เพื่อให้ประเทศไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกลง 20-25% ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แทนน้ำมันเชื้อเพลิงในระบบขนส่งของประเทศ รวมทั้ง "นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า" หรืออุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next-generation Automotive) ซึ่งเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลให้การส่งเสริม
กระทรวงคมนาคมจึงมีนโยบายสนับสนุนให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เพื่อลดมลพิษ และบรรเทาภาวะโลกร้อน โดยมอบหมายให้การรถไฟฯ ดำเนินการศึกษาการใช้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสำหรับการขนส่งสาธารณะ กรณีรถไฟขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า (EV on Train) ให้มีการใช้หัวรถจักรพลังงานไฟฟ้า ซึ่งได้ร่วมมือกับ สจล. และ EA จัดทำรถต้นแบบคันแรกในการพัฒนารถไฟระบบ EV on Train ที่ประเทศไทยสามารถประกอบติดตั้งระบบแบตเตอรี่สำหรับรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเองได้ เสร็จเมื่อปี 2565 เป็นแห่งแรกของโลก ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมใหม่ และขอให้ทาง รฟท.และสถาบันการศึกษาที่ร่วมกันพัฒนาไปดำเนินการจดสิทธิบัตรไว้เป็นสมบัติของประเทศไทย
@โชว์สมรรถนะ ทดสอบ ลากตู้สินค้าได้ 2,500 ตัน
หัวรถจักรต้นแบบนี้ได้มีการทดสอบจนมั่นใจในการขับเคลื่อน ความเร็วสูงสุดจำกัดที่ 120 กม./ชม. กรณีลากตู้สินค้า ความเร็ว 70 กม./ชม. กรณีลากตู้โดยสาร ความเร็ว 100 กม./ชม. โดยตั้งสมมติฐาน การชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 1 ครั้ง จะมีสมรรถนะในการลากจูงระยะทาง 300 กม. กรณีลากตู้สินค้า น้ำหนักประมาณ 2,500 ตัน (36 ตู้) ลากตู้โดยสาร น้ำหนักไม่เกิน 650 ตัน ซึ่งเป็นหลักสากล ส่วนคุณภาพเสียงและอากาศ โดยวัดค่าเสียงเฉลี่ย 75 เดซิเบล (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 80 เดซิเบล) ส่วนอากาศ ระดับ PM 2.5 มีค่าประมาณ 11 AQI เท่านั้น
ขณะนี้จะเน้นการทดสอบเพื่อให้เกิดความมั่นใจ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย โดยตั้งเป้าหมายในปี 2566 จะดำเนินการประกอบหัวรถจักรเพิ่มเติมอีกจำนวน 3 คัน รวมมีหัวรถจักร EV ทั้งสิ้น 4 คัน ขณะที่ศักยภาพของผู้ผลิต สามารถดำเนินการได้ถึง 50 คัน/ ปี ซึ่งให้เป้าว่าในปี 2566 อาจจะผลิตได้ 50 คันเลย ส่วนการดำเนินการจัดหา มีระเบียบพัสดุกำหนดขั้นตอนอยู่แล้ว และเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ส่วนเงินลงทุนสามารถดำเนินการได้หลายรูปแบบ รัฐบาลมีเครื่องมือทางการเงิน ทั้งงบประมาณ PPP หรือใช้กองทุน TFF
โดยรถไฟ EV มีต้นทุน ค่าผลิต ค่าดำเนินการ ค่าซ่อมบำรุง ขบวนรถโดยสารได้ในระยะทาง 150-200 กิโลเมตร และประหยัดต้นทุนพลังงาน 40% เมื่อเปรียบเทียบกับหัวรถจักรดีเซลทั่วไป ซึ่งมอบให้พัฒนาต่อยอดนำไปใช้กับรถไฟความเร็วสูงและรถไฟฟ้าในเมือง เพื่อลดต้นทุนในการดำเนินการและลงทุนโครงการระบบราง และพัฒนาไปถึงการเป็นศูนย์กลางการซ่อมบำรุงระบบรางในภูมิภาคอาเซียนด้วย
“การทดสอบแบตเตอรี่ใช้เวลาชาร์จ 1 ชม. วิ่งได้ 3,000 ชม. หรือระยะทางประมาณ 300 กม. โดยให้ศึกษาเปรียบเทียบกรณีการลากตู้แบตเตอรี่พ่วงไปด้วยกับการมีสถานีเปลี่ยนตู้แบตเตอรี่ระหว่างทาง ซึ่งใช้เวลาเปลี่ยน 10 นาที รูปแบบใดที่มีต้นทุนอย่างไร ที่เหมาะสมกับผู้โดยสาร”
@รฟท.นำร่องใช้เป็นรถสับเปลี่ยนขบวน บนชานชาลาสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การทดสอบการใช้งานรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ รถต้นแบบคันแรกในการพัฒนารถไฟระบบ EV on Train เพื่อใช้ในระบบสับเปลี่ยนขบวน (Shunting) เป็นไปตามนโยบายขับเคลื่อนการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะด้วยการนำเทคโนโลยียานยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) แทนที่ยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของกระทรวงคมนาคม รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งในแผนการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพ การให้บริการ และสร้างรายได้ของการรถไฟฯ ถือเป็นรถจักรพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ คุณภาพสูงที่ผลิตโดยคนไทย
ในระยะแรกการรถไฟฯ จะนำรถจักรดังกล่าวมาใช้ลากเป็นบริการรถสับเปลี่ยน (Shunting) ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เพื่อลดมลพิษในอาคารสถานีชั้นที่ 2 จากขบวนรถโดยสารทางไกลที่ยังเป็นรถไฟดีเซล ซึ่งจากผลการทดสอบของ รฟท.สามารถลากขบวนรถจากย่านสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ไปที่ชานชาลาสถานีที่ชั้น 2 ได้จำนวน 12 เที่ยวต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ระยะเวลาการชาร์จจนแบตเตอรี่เต็มประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นในระยะต่อไปจะทดลองวิ่งในระยะทางใกล้ เช่น ขบวนรถโดยสารชานเมือง ระยะทางประมาณ 30-50 กิโลเมตร และระยะทางที่ไกลมากขึ้น เช่น ขบวนรถข้ามจังหวัด ระยะทางประมาณ 100-200 กิโลเมตร และขบวนรถขนส่งสินค้า จาก ICD ลาดกระบัง ไปยังท่าเรือแหลมฉบัง เป็นต้น
ขณะนี้จุดชาร์จแบตเตอรี่ไฟฟ้าดำเนินการติดตั้งที่บริเวณย่านบางซื่อ และในอนาคตมีแผนจะติดตั้งจุดชาร์จแบตเตอรี่ไฟฟ้าที่สถานีอื่นๆ เพิ่มเพื่อชาร์จไฟตามแนวเส้นทางรถไฟต่อไป รองรับการใช้หัวรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่จะพ่วงไปกับขบวนรถโดยสาร อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ได้ทำการทดสอบลากจูงขบวนรถในระยะใกล้ เส้นทางวิหารแดง-องครักษ์ (ไป-กลับ) ระยะทาง 100 กิโลเมตรมาแล้ว นอกจากนี้ยังได้ทดสอบวิ่งรถจักร Battery ตัวเปล่าคันเดียว รวมทั้งการลากขบวนรถโดยสารขึ้น และลงสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้ความเร็วตลอดการทดสอบเฉลี่ย 25 กิโลเมตร (กม.) ต่อชั่วโมง (ชม.) ซึ่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี
สำหรับจุดเด่นของรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ดังกล่าวได้ถูกออกแบบ และผลิตด้วยเทคโนโลยีทันสมัย และในอนาคตหากจะใช้งานด้วยนวัตกรรมระบบชาร์จ Ultra Fast Charge ในเวลา 1 ชั่วโมง (ชม.) ในระยะแรก และ Battery Swapping Station เพื่อการสลับเปลี่ยนแบตเตอรี่ในเวลาไม่เกิน 10 นาที เพื่อลดเวลาการรอชาร์จ และนำมาขยายผลใช้งานในระบบขนส่งได้จริง ถือเป็นก้าวแรกของการรถไฟฯ ในการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ในการทดสอบ
รถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ รถต้นแบบคันแรกในการพัฒนารถไฟระบบ EV on Train นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของประเทศไทยที่ก่อให้เกิดนวัตกรรม และเทคโนโลยีของคนไทยที่ทัดเทียมกับนานาชาติได้อย่างก้าวกระโดด เป็นเทคโนโลยี Zero emission ไม่ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลด carbon footprint สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Asian Logistics Hub และตอบสนองนโยบาย Thai First ของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมการผลิต ทดสอบ ประกอบยานยนต์ โดยใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตได้ในประเทศ
ทั้งนี้ การรถไฟฯ มั่นใจว่ารถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญที่จะพลิกโฉมการให้บริการรถไฟไทย ช่วยยกระดับการเดินทาง และการขนส่งทางราง ให้เป็นรูปแบบการคมนาคมหลักของประเทศ เป็นระบบรางไร้มลพิษ ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนขนส่งไทย ที่มุ่งสู่ความยั่งยืนทางด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อม รวมถึงประชาชนชาวไทยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จะได้รับการให้บริการด้วยรถไฟฟ้าที่มีความสั่นสะเทือนน้อยลง มีความสะดวกสบาย และมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น เปิดโลกอนาคตของรถไฟยุคใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน