xs
xsm
sm
md
lg

ถอดสูตรการเติบโต “ไมเนอร์ฯ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 - ส่องเส้นทางการเติบโตสู่ความสำเร็จ ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี “บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)” หรือ “MINT” พร้อมเดินหน้าสร้างความผูกพันแห่งความสำเร็จต่อเนื่อง

หากเอ่ยถึงชื่อ โรงแรมอนันตรา, เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, ชาร์ล แอนด์ คีธ ฯลฯ เชื่อว่าหลายคนคุ้นเคยและมีโอกาสได้ใช้บริการและเป็นลูกค้าแบรนด์เหล่านี้กันอย่างแน่นอน ซึ่งแบรนด์ดังกล่าวเป็นหนึ่งในหลากหลายธุรกิจที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัทระดับโลกอย่างบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ “MINT” ซึ่งดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้งในต่างประเทศและประเทศไทย ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ไมเนอร์ โฮเทลส์ (Minor Hotels) ไมเนอร์ ฟู้ด (Minor Food) และไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ (Minor Lifestyle) โดยปัจจุบัน MINT เป็นผู้ประกอบการธุรกิจพักผ่อนและสันทนาการที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สามารถครองใจลูกค้ากว่า 148 ล้านราย ใน 63 ประเทศทั่วโลก แน่นอนว่าเส้นทางความสำเร็จจากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบันมีเรื่องราวที่น่าสนใจและน่าติดตาม ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะพาทุกคนไปทำความรู้จัก MINT กันให้มากยิ่งขึ้น


จุดเริ่มต้นจากโลคัลแบรนด์ สู่บริษัทระดับโกลบอล
กว่าจะมาเป็น บริษัท ไมเนอร์​ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือมีชื่อย่อว่า “MINT” ในปัจจุบัน มีจุดเริ่มต้นมาจากคุณ “วิลเลี่ยม ไฮเน็ค” ในวัยเพียง 17 ปี เมื่อปี 2510 กับการก่อตั้ง 2 บริษัท คือ บริษัท อินเตอร์-เอเชียน พับลิซิตี้ จำกัด และบริษัท อินเตอร์-เอเชียน เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจด้านโฆษณาและทำความสะอาดสำนักงาน ต่อมาในปี 2513 บริษัท ไมเนอร์ โฮลดิ้งส์ ได้เข้าถือหุ้นใน 2 บริษัทแรก โดยชื่อ “ไมเนอร์” (Minor) ที่มีความหมายว่าผู้เยาว์ ก็เกิดจากอายุและสถานะทางกฎหมายของคุณวิลเลี่ยม ไฮเน็ค ในเวลานั้นนั่นเอง

หลังจากนั้นในปี 2521 ก็ได้เริ่มต้นการทำธุรกิจโรงแรมแห่งแรกของบริษัทในประเทศไทยที่ปัจจุบันคือ โรงแรม อวานี พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา ต่อมาในปี 2523 บริษัทก็ได้ขยายเข้าสู่ธุรกิจอาหารในประเทศไทยในฐานะผู้ได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียวของร้านพิซซาภายใต้แบรนด์ระดับสากล รวมถึงในปี 2525 บริษัทได้ถือกำเนิดธุรกิจไลฟ์สไตล์ที่ดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิต และจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ในประเทศไทย

โดย MINT ได้ดำเนินทั้ง 3 ธุรกิจดังกล่าวในไทยมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงปี 2544 ที่ถือเป็นอีกก้าวประวัติศาสตร์ของบริษัท ด้วยการสร้างโรงแรมหรูแบรนด์แรกภายใต้ชื่อ “อนันตรา” รวมถึงการสร้างแบรนด์พิซซาของตัวเองภายใต้ชื่อ “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” จนถึงปี 2548 ได้เดินหน้าขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญด้วยการเข้าลงทุนในประเทศมัลดีฟส์ รวมถึงการลงทุนในประเทศศรีลังกาและตะวันออกของทวีปแอฟริกา ในขณะที่ปี 2554 เป็นต้นมา MINT ได้เดินหน้าขยายธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มในรูปแบบการลงทุนเอง การรับจ้างบริหาร และการซื้อกิจการในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องครอบคลุม 5 ทวีปจนถึงปัจจุบัน


สร้างการเติบโตในทุกก้าว มั่นคงในทุกกลุ่มธุรกิจ
จากการเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินทุนหลักหมื่นบาท สู่การเป็นบริษัทระดับแสนล้านบาทในปัจจุบัน ธุรกิจหลักทั้ง 3 กลุ่มของ MINT ยังเดินหน้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

โดยธุรกิจไมเนอร์ โฮเทลส์ (Minor Hotels) มีโรงแรมในเครือทั้งสิ้นกว่า 520 แห่ง และมีจำนวนห้องพักรวมกว่า 75,000 ห้อง ภายใต้เครื่องหมายการค้า ได้แก่ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอช, นาว, เอเลวาน่า, แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, เรดิสัน บลู รวมถึงยังมีกลุ่มโรงแรมและสปาในเครือใน 56 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ ตลอดจนยังเป็นผู้ประกอบการธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม ได้แก่ ธุรกิจศูนย์การค้าและบันเทิง ธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย และโครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลา


ขณะที่ธุรกิจ ไมเนอร์ ฟู้ด (Minor Food) นั้น MINT ถือเป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ที่มีเชนร้านอาหารมากกว่า 2,400 สาขา ใน 23 ประเทศ เสิร์ฟความอร่อยในหลากหลายรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกรสชาติความอร่อยจากแบรนด์ที่ทุกคนรู้จักดี ภายใต้เครื่องหมายการค้า เช่น เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริเวอร์ไซด์, เบนิฮานา, ไทย เอ็กซ์เพรส, บอนชอน, กาก้า, คอฟฟี่ เจอนี่, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน และเบอร์เกอร์ คิง รวมไปถึงธุรกิจการผลิตวัตถุดิบต่างๆ และธุรกิจรับจ้างผลิตโดยมีโรงงานเป็นของตัวเองอีกด้วย


ในขณะที่ธุรกิจ ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ (Minor Lifestyle) ที่ MINT ก็เป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีจุดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์กว่า 300 แห่ง ภายใต้เครื่องหมายการค้า อเนลโล่, เบิร์กฮอฟฟ์,  บอสสินี่, ชาร์ล แอนด์ คีธ, โจเซฟ โจเซฟ, สวิลลิ่ง เจ.เอ. เฮ็งเคิลส์ และ ไมเนอร์ สมาร์ท คิดส์

ความสำเร็จทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงการวางกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจและสร้างการเติบโตที่พร้อมปรับตัวตามสถานการณ์ปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมายังต้องเผชิญอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ ปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่ส่งผลกระทบ แต่ MINT ยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง โดยภาพรวมการเติบโตตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา MINT มีรายได้รวมประมาณ 4 แสนล้านบาท ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 MINT สามารถสร้างรายได้จากการดำเนินงานกว่า 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจากกลุ่มธุรกิจโรงแรมคิดเป็น 75% ตามมาด้วยธุรกิจอาหาร 23% และธุรกิจไลฟ์สไตล์ 2%


ความสำเร็จที่มั่นคงต้องมาพร้อมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกด้าน
เพราะการดำเนินธุรกิจของ MINT ล้วนเกี่ยวข้องกับผู้คน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น MINT จึงมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืน เพราะเชื่อว่าความยั่งยืนถือเป็นการเติบโตไปข้างหน้าด้วยการสร้างสมดุลร่วมกัน ดังนั้น MINT จึงสร้างกลยุทธ์ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน

โดยการแปลงแรงบันดาลใจไปสู่การลงมือปฏิบัติ ผ่าน 5 ยุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืนที่ได้รับการพัฒนาจากค่านิยมองค์กรและสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทโดยรวม ตลอดจนยังสอดคล้องกับ TCFD (Taskforce on Climate-related Financial Disclosures) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ยุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืนประกอบด้วย

1. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (People) เพราะ MINT เชื่อมั่นว่าการที่บุคลากรและคนในสังคมมีทั้งความสามารถและคุณภาพจะมีส่วนสนับสนุนให้องค์กรเติบโตและมีศักยภาพในการแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น และได้สนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาอย่างต่อเนื่อง ผ่านแนวทางการพัฒนาใน 3 ระดับ คือ กลุ่มรากหญ้า ได้แก่ เด็ก เยาวชนและสมาชิกชุมชนที่ด้อยโอกาส กลุ่มพนักงาน และกลุ่มผู้บริหารศักยภาพสูงและผู้นำ

2. สร้างห่วงโซ่คุณค่าที่ยั่งยืน (Value Chain) MINT ตระหนักในความสำคัญของการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่คุณค่าของ MINT โดยมุ่งเน้นในการยกระดับการบริหารจัดการซัปพลายเชนเพื่อจัดซื้อสินค้าและบริการอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นในการนำเสนอสินค้าและบริการที่ได้คุณภาพและคำนึงถึงลูกค้าเป็นสำคัญ


3. ปกป้องสิ่งแวดล้อม (Planet) MINT มีพันธกิจที่พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของโลกในการช่วยลดการใช้ทรัพยากร การปล่อยของเสียและก๊าซเรือนกระจก MINT ตระหนักดีถึงวาระเร่งด่วนระดับโลกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบในเชิงทางลบต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง และได้ให้คำมั่นในการเป็น “องค์กรปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593” โดยยึดหลัก 4R (Reduce, Reuse, Recycle, Replace) ในการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งได้สนับสนุนการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่

4. ยึดมั่นธรรมาภิบาล (Governance) การกำกับดูแลกิจการที่ดีและวัฒนธรรมการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์เสริมด้านความยั่งยืนของ MINT มาโดยตลอด และเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างรากฐานที่เข้มแข็งให้แก่องค์กรในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

5. สร้างคุณค่าร่วม (Shared Value) MINT มุ่งสร้างวัฒนธรรมเพื่อปลูกฝังและผสานแนวคิด “การสร้างคุณค่าร่วม” ในการดำเนินงานทั่วโลก โดยมองหาโอกาสส่งเสริมการดำเนินงานที่สามารถสร้างการแข่งขันทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการตอบสนองความต้องการด้านความอยู่ดีมีสุขของชุมชน สังคม รวมถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้เติบโตไปพร้อมกันได้อย่างยั่งยืน
























กำลังโหลดความคิดเห็น