"กกพ."เคาะเลื่อนกรอบเวลาลงนามซื้อขายไฟฟ้า43รายโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนฯนำร่อง150เมกะวัตต์ออกไปอีก60วันหรือสิ้นสุด27ก.พ.66เพื่อให้กฟภ.เตรียมเอกสาร และยืนยันเอกชนเพื่อการลงนาม
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า จากการประชุม กกพ. ครั้งที่ 61/2565 (ครั้งที่ 828) เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบประกาศเปลี่ยนแปลงกรอบระยะเวลาลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) ครั้งที่ 6 เพื่อขยายระยะเวลาลงนามสัญญาจากประกาศเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 29 ธันวาคม 2565 ออกไปอีก 60 วันไปสิ้นสุดวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ตามที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เสนอ ทั้งนี้ การขอเลื่อนดังกล่าวเป็นไปเพื่อให้ กฟภ. พิจารณาจัดเตรียมเอกสารและประสานกับผู้ผลิตไฟฟ้าขอยืนยันการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายหลังจากที่ กฟภ. ได้รับผลการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(สำนักงานป.ป.ช.)แล้ว
“นับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าชุมเศรษฐกิจฐานราก เพื่อพัฒนาโครงการให้เป็นไปตามแนวนโยบายรัฐบาล เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชนตามวัตถุประสงค์ของโครงการต่อไป” นายคมกฤช กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก(โครงการนำร่อง) 150 เมกะวัตต์ ได้มีการคัดเลือกผู้สำหรับการพิจารณาคัดเลือกโรงไฟฟ้าชุมเพื่อเศรษฐกิจฐานราก(โครงการนำร่อง)นั้น ทางกกพ.ได้ประกาศเมื่อ 23 ก.ย. 64 มีผู้ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 43 ราย คิดเป็นปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 149.50 เมกะวัตต์ (ค่าไฟฟ้าเสนอขายเฉลี่ย 3.1831 บาทต่อหน่วย) แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าชุมชนประเภทชีวมวลจำนวน 16 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 75.00 เมกะวัตต์ (ค่าไฟฟ้าเสนอขายเฉลี่ย 2.7972 บาทต่อหน่วย) และโรงไฟฟ้าชุมชนประเภทก๊าซชีวภาพรวม 27 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 74.50 เมกะวัตต์ (ค่าไฟฟ้าเสนอขายเฉลี่ย 3.5717 บาทต่อหน่วย) ตามกรอบเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กำหนดเป้าหมายจากเชื้อเพลิงชีวมวล 75 เมกะวัตต์ และเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ 75 เมกะวัตต์
อย่างไรก็ตามทั้ง43รายไม่อาจลงนามซื้อขายไฟได้เพราะมีการร้องเรียนไปยังสำนักงานป.ป.ช.จนทำให้ต้องเลื่อนเวลาลงนามถึง5ครั้ง
จนล่าสุดป.ป.ช.ได้แจ้งว่าการร้องเรียนผลการคัดเลือกโครงการดังกล่าวว่าเข้าข่ายการกระทำผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานภาครัฐพ.ศ.2542 หรือเข้าข่ายการฮั้วประมูลฯ โดยมีความเห็นว่า ผู้ร้องเรียนไม่มีส่วนได้เสียกับโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด