xs
xsm
sm
md
lg

เมเจอร์เปิดม่านรับปี66 ทุ่มงบพันล.ลุย เชื่อโรงหนังฟื้นชีพ รายได้กลับมาหมื่นล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน360- ปี66 ตลาดหนังกลับมา 100% คาดมีมูลค่า 7,000 ล้านบาท เหตุรายชื่อหนังทำเงินตบเท้าจ่อเข้าโรงแน่นเอี๊ยด ส่วนหนังไทยพร้อมสู้ร่วม 50 เรื่อง เมเจอร์มองเห็นอนาคต มั่นใจรายได้กลับมาหมื่นล้านบาทอีกครั้ง พร้อมอัดเม็ดเงิน 1,000 ล้าน ลุยขยายสาขาและสร้างจุดแข็งดึงดูดแฟนหนังดูผ่านโรงหนัง ชูป๊อบคอร์น นิวบิซิเนสใหม่โกยรายได้

นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2566 จะเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีนับจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มั่นใจว่าภาพรวมตลาดภาพยนตร์จะกลับมาเท่าปี 2562 หรือก่อนเกิดโควิดที่เคยทำไว้ถึง 7,000 ล้านบาท เพราะเท่าที่คุยกับค่ายหนังดังฝั่งฮอลลีวูด ต่างพร้อมลงทุนและโชว์หน้าหนังทำเงินเตรียมเข้าฉายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อควาแมน, แอนท์แมน, ฟาส 10 และทรานฟอร์มเมอร์ เป็นต้น ส่วนหนังไทยเองเชื่อว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 40-50 เรื่องในปีหน้า หรือสัดส่วนหนังไทยน่าจะทำได้ 40% ของตลาดรวม

ในส่วนของเมเจอร์ ในปี2566 จะมุ่งดำเนินธุรกิจเน้นใน 3 เรื่องหลัก คือ 1. Customer Experian เป็นกลยุทธ์ที่ทำตั้งแต่มีโควิด และยังทำต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงการดูหนังในโรงที่ได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น 2. Thai Movie Content มุ่งสร้างและสนับสนุนหนังไทย ให้เป็นซอฟท์พาวเวอร์ต่อไป รวมถึงต้องการให้สัดส่วนรายได้รวมของตลาดหนังไทยทำได้ 50% เท่าหนังฮอลลีวูด ซึ่งปีนี้อยู่ที่ 30% จากทั้งหมด 40 เรื่องที่เข้าโรงฉาย และปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มเป็น 40% โดยปีหน้าเมเจอร์ตั้งเป้าผลิตหนังไทยไม่ต่ำกว่า 10-15 เรื่อง

3.New Bisiness กับธุรกิจป๊อปคอร์น จากตลอดระยะเวลา 3 ปีที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ทุกธุรกิจเกิดการชะงัก แต่ในส่วนของการจำหน่ายป๊อปคอร์นกลับมีตัวเลขการเติบโตของรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยอดขายป๊อปคอร์นนอกโรงหนัง (Out Cinema) ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน เชื่อว่าจบปี 2565นี้ รายได้หลักจะมาจากป๊อบคอร์น 70% และตั๋วหนังอยู่ที่ 30%

นายวิชา กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 บริษัทพร้อมใช้เม็ดเงินร่วม 1,000 ล้านบาท สำหรับปรับปรุงเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆดึงคนให้มาดูหนังมากขึ้น รวมถึงใช้ขยายสาขาโรงภาพยนตร์มากที่สุดถึง 13 สาขา 49 โรง ด้วยงบลงทุน 600 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. One Bangkok 2.เซ็นทรัล ราชพฤกษ์ 3.โรบินสัน ฉลอง 4.โลตัส นครนายก 5.สระแก้ว 6.นราธิวาส 7.ปัตตานี 8.บิ๊กซี บางบอน 9.สระบุรี 10.ยะลา รวมถึงเปิดกับไฮเปอร์ มาร์เก็ตอีก 2 สาขา และเปิดสแตนด์อโลนที่ภูเก็ต อีก 1 สาขา นอกจากนี้ยังมีขยายสาขาโบว์ลิ่ง เพิ่มอีก 3 สาขา 40 เลน และคาราโอเกะ 30 ห้องด้วย

“จบปี 2565 มั่นใจว่ารายได้จะอยู่ที่ 7,000 ล้านบาท หรือกลับมาที่ 70% เทียบจากปี 2562 ที่เคยทำไว้ 10,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2566 มั่นใจว่าจะกลับมา 100% หรือน่าจะมีรายได้ที่ 10,000 ล้านบาทอีกครั้ง โดยรายได้ตั๋วหนังและป๊อปคอร์นจะอยู่ที่ 50% เท่าๆกัน” นายวิชา กล่าวสรุป.


กำลังโหลดความคิดเห็น