เหตุดรามาในไทยว่า "ขายชาติหรือไม่" กรณีเปิดให้ต่างชาติซื้อที่ดิน ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกเร่งผ่อนคลายนโยบาย ดึงดูดการลงทุนหลังโควิด โดยเฉพาะการเปิดให้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในช่วงการย้ายคนเก่ง “talent mobility” โดยทุกประเทศในเอเชียต่างเร่งดึงดูดนักลงทุน ด้านสิงคโปร์เตรียมออกวีซ่าให้แก่ผู้ที่ต้องการเข้าไปทำงานในประเทศ โดยต้องการที่จะดึงดูดแรงงานระดับมันสมองสูงเข้าไปทำงานมากกว่าเดิม หลังจากที่สิงคโปร์เกิดปัญหาแรงงานขาดแคลนในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเตรียมแผนที่จะดึงชาวต่างชาติที่ทำงานในฮ่องกงให้ย้ายมาทำงานที่สิงคโปร์ด้วย
สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวว่าแผนของสิงคโปร์ที่จะดึงดูดให้คนเก่งเข้ามาทำงานเพิ่มมากขึ้น โดยการออกวีซ่าระยะยาว 5 ปี จากเดิมที่วีซ่ามีอายุไม่เกิน 3 ปีเท่านั้น ขณะเดียวกันการเดินเรื่องขอวีซ่าจากเดิมที่มีระยะเวลานานนั้นจะลดลงเหลือแค่ 10 วันเท่านั้น
สิงคโปร์คือดินแดนที่อสังหาริมทรัพย์มีราคาแพงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ด้วยราคาเฉลี่ยต่อยูนิตที่ 874,372 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 27.25 ล้านบาท) เป็นรองก็แต่เพียงเกาะฮ่องกง แต่ทำไมประชากรสิงคโปร์จึงมีที่อยู่อาศัยเพียงพอ แม้แต่คนระดับกลางถึงล่างของสังคมก็ยังเข้าถึงที่อยู่อาศัยและไม่ต้องอยู่กันอย่างแออัดในสลัม ดังนั้นการขายบ้านให้คนรวยทำได้ถ้าภาครัฐแข็งแรง โดยที่สิงค์โปร์คำตอบก็คือบทบาทของ “การเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ (Housing and Development Board; HDB)” นั่นเอง
ในประเทศตะวันตก ชาวต่างชาติสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ แม้แต่เจ้าตัวมอบอำนาจการซื้อให้ทนายความโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เดินทางไปเองก็ยังได้ เช่น ในแคนาดา สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอังกฤษเป็นอาทิ แทบไม่มีข้อจำกัดในการถือครองอสังหาริมทรัพย์โดยคนต่างชาติ มีชาวญี่ปุ่น ยุโรป ตะวันออกกลาง และอื่นๆ ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์กันมากมาย
ส่วนประเทศเพื่อนบ้านที่ทันสมัยอย่าง สิงคโปร์นั้น ชาวต่างชาติสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ ส่วนกรณีที่ดิน ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล และซื้อได้ในขนาดไม่เกิน 348 ตารางวา ยกเว้นที่เกาะเซ็นโตซา ที่มีการถมทะเลมาจัดสรรที่ดินเป็นรีสอร์ตหรู ชาวต่างชาติสามารถซื้อที่ดินได้ในขนาดใหญ่กว่านี้ ส่วนประเทศมาเลเซียก็อนุญาตให้ต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนบางประเทศ เช่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน
สำหรับผู้ที่จะสามารถขอวีซ่าดังกล่าวได้นั้นจะต้องมีรายได้อย่างน้อย 30,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อเดือน หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 782,405 บาทต่อเดือน โดยรายได้ที่สูงดังกล่าวนี้จะดึงดูดชาวต่างชาติที่ทำงาน (Expat) จากฮ่องกงย้ายมาทำงานในสิงคโปร์ได้ง่ายมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ถ้าหากเป็นวีซ่าที่เกี่ยวข้องกับงานที่สิงคโปร์ขาดแคลน เช่น ด้านเทคโนโลยี ฯลฯ ก็จะมีเงื่อนไขว่าเงินเดือนขั้นต่ำอยู่ที่ 10,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือราวๆ 381,885 บาทต่อเดือน แต่ถ้าหากเป็นวีซ่าสำหรับผู้ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ ดนตรี วัฒนธรรม งานวิจัย หรือแม้แต่ด้านวิชาการ ก็จะยกเว้นเงื่อนไขในเรื่องของรายได้
ตัน ซี เลง รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรมนุษย์ของสิงคโปร์ ได้กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เราไม่สามารถปล่อยให้บรรดานักลงทุนเกิดความสงสัยต่อไปได้ว่าสิงคโปร์จะยังเปิดประเทศหรือไม่ เนื่องด้วยสิงคโปร์เป็นประเทศขนาดเล็ก ไม่มีทรัพยากรใดๆ ทำให้สิงคโปร์ต้องใช้ยุทธศาสตร์ในการดึงคนเก่งๆ เข้ามาในประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลสิงคโปร์คาดว่าจะมีผู้ที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวนี้ประมาณ 5% ของผู้ที่ถือ Employment Pass ของสิงคโปร์
ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 สิงคโปร์มีความเข้มงวดในการเข้าประเทศ ขณะเดียวกันก็ประสบปัญหาที่ชาวต่างชาติเองก็ย้ายออกจากสิงคโปร์ ส่งผลทำให้ประชากรในสิงคโปร์ลดลงครั้งแรกในรอบ 20 ปี จึงทำให้สิงคโปร์ต้องออกแผนการดังกล่าวมาใช้
ก่อนหน้านี้ ลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ได้กล่าวว่า การดึงดูดให้คนเก่งเข้ามาทำงานในสิงคโปร์จะช่วยเพิ่มทักษะให้กับแรงงานรวมถึงบริษัทของสิงคโปร์ เนื่องจากได้ทำงานร่วมกับหัวกะทิที่มีความสามารถ โดยเกณฑ์การออกวีซ่าใหม่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2566 เป็นต้นไป