ผู้จัดการรายวัน 360 - ผมร่วง ผมบาง ปัญหาเล็กแต่ใหญ่คับใจ ดันตลาดปลูกผม 1,000 ล้าน โตทะลัก 20% “ดร.อร” ท็อป 3 ด้านแฮร์เซ็นเตอร์ มองเห็นโอกาส อัดเม็ดเงิน 300 ล้านบาทบุกหนักปี 66 ลุยโรงพยาบาลด้านเส้นผม พร้อมขยายอีก 6 สาขาในห้าง มั่นใจปีหน้ามีรายได้ร่วม 450 ล้านบาท หรือโตอีก 30-40%
พญ.อรอุมา พันธ์อภิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผม และผู้ก่อตั้ง "Dr. Orn Medical Hair Center” เปิดเผยว่า ปัญหาผมร่วง ผมบาง เป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกช่วงวัย โดยพบว่าคนไทยประสบปัญหาภาวะผมร่วงบางหรือศีรษะล้านกว่า 33 ล้านคน โดยเฉพาะในผู้ชายไทย มีปัญหาผมร่วงบางถึงประมาณ 17.5 ล้านคน แต่หากมองในแง่ของการเข้ารักษาแล้ว จะเริ่มเห็นอายุที่น้อยลงมากขึ้น เพราะผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญต่อปัญหาเส้นผม และดูแลตัวเองมากขึ้น
จากข้อมูลเชิงสถิติ พบว่าปัจจุบันคนไทยประสบกับปัญหาภาวะผมร่วงบางหรือศีรษะล้าน โดยเฉพาะในผู้ชายไทยมีปัญหาผมร่วงบางถึงประมาณ 17.5 ล้านคน ทำให้ในแต่ละปีต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับการรักษาอาการผมร่วงบาง ถึงแม้ว่าปัญหาผมร่วงบางจะมิใช่โรคร้ายแรง แต่ก็ส่งผลกระทบต่อภาวะจิตใจของทั้งชายและหญิง ความมั่นใจในการดำเนินชีวิตลดน้อยลงไป บางรายถึงขั้นเกิดอาการซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัว ซึ่งหากทำให้ผมกลับมาดกดำขึ้น ความมั่นใจในชีวิต คุณภาพในการทำงาน รวมไปถึงสุขภาพก็จะดีขึ้นตามมา
นอกจากนั้น จากผลการวิจัยตลาดปลูกผมทั่วโลกได้คาดการณ์ว่าในปี 2027 มูลค่าตลาดจะสูงถึง 4,136.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 136,508 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2020 ที่มีมูลค่า 3,214 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 106,062 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 3.6% เช่นเดียวกับในประเทศไทย มีทั้งคลินิก/สถาบันเสริมความงามที่ลงมาเล่นในตลาดนี้เพิ่มมากขึ้น
จากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ในปี 2564 ที่ผ่านมามีผู้เล่นเข้ามาในตลาดปลูกผมนับ 100 ราย ส่วนใหญ่เป็นบริการเสริมในคลินิกความงาม ขณะที่ปัจจุบันเมืองไทยมีหมอเฉพาะทางด้านเส้นผมอยู่เพียง 30 คน เท่านั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ตลาดปลูกผมในปีก่อนโตขึ้น 20% มีมูลค่า 1,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2565 นี้จากการแข่งขันที่สูงขึ้น มีการจัดโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม หรือแบบเหมาๆ ก็มีสูงขึ้น เพื่อให้เข้าถึงผู้อยากใช้บริการมากขึ้น แต่ปัญหาที่ตามมาก็เยอะตาม มีเคสแก้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้มองว่าภาพรวมตลาดปลูกผมในปีนี้ก็น่าจะยังเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ในลักษณะการจ่ายที่ถูกลง
ในส่วนของ Dr. Orn Medical Hair Center เปิดให้บริการมา 11 ปี ที่ผ่านมาได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าและบุคคลชื่อดังในวงการบันเทิงในการปลูกผมมาแล้วมากกว่า 11,000 คน และรับบริการทางด้านการดูแลเส้นผมอื่นๆ สูงถึง 60,000 คน โดยปัจจุบันเปิดให้บริการเพียง 2 สาขา คือ สาขาแรกอยู่ที่ซอยพหลโยธิน 22 ทราฟฟิกวันละ 80-100 คน ล่าสุดเมื่อช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาได้เปิดให้บริการ Dr. Orn Medical Hair Center แห่งที่ 2 ขึ้น ในรูปแบบแฟลกชิปสโตร์ มีความเป็น Wellness มากขึ้น ณ ศูนย์การค้าเมอร์คิวรี วิลล์ ชิดลม ทราฟฟิก 20 คน/วัน นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์ “ดร.อร คอสเม่” (Dr.Orn Cosmez) จำหน่ายในตลาด E-Commerce และ Social Commerce เติมเต็มเซกเมนต์ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ตอบโจทย์ผู้ประสบปัญหาเส้นผมในทุกรูปแบบ
“ปัจจุบันคนไทยใส่ใจปัญหาเส้นผมมากขึ้น ผู้ชายจะเป็นเรื่องปลูกผม เพราะผมบาง หัวล้านจากกรรมพันธุ์ ส่วนผู้หญิงจะเป็นเรื่องปลูกผมเพื่อปรับกรอบหน้ามากขึ้น ขณะที่ผู้เข้าใช้บริการปลูกผม อายุน้อยสุดที่เคยเจอคือ 18 ปี ส่วนอายุมากสุด คือ 80 ปี แต่กลุ่มใหญ่ที่มาใช้บริการจะอยู่ที่ 23-50 ปี นอกจากนี้เคสแก้ปลูกผม จากปัญหาที่เกิดจากไปใช้บริการที่อื่นมาแล้วมีปัญหาก็มีเข้ามาเพิ่มขึ้นด้วย” พญ.อรอุมากล่าว
สำหรับในปี 2566 ดร.อรพร้อมใช้งบลงทุนกว่า 300-350 ล้านบาทในการขยายสาขา แบ่งออกเป็น 1. ขยายเพิ่ม 6 สาขา ในห้างสรรพสินค้า ลงทุนเฉลี่ยสาขาละ 6 ล้านบาท 2. โรงพยาบาลด้านเส้นผม ที่สุขุมวิท 58 ลงทุนกว่า 300 ล้านบาท พื้นที่ราว 3,000 ตารางเมตร คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาสสี่ ปี 2566 เป็นต้นไป
ปัจจุบันตลาดดูแลเส้นผมมีมูลค่า 30,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มตลาดปลูกผม 1,000 ล้านบาท โดยเราเป็นอันดับ 1 ในตลาดนี้ ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 30% ปีนี้มั่นใจว่าจะมีรายได้เติบโต 25% หรือน่าจะทำได้ไม่ต่ำกว่า 330 ล้านบาท ส่วนในปีหน้าจากแผนขยายสาขาใหม่ๆ เชื่อว่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 30-40% หรือน่าจะมีรายได้ราว 450 ล้านบาท