ผู้จัดการรายวัน 360 - กลุ่มดุสิตธานีเดินหน้าปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เริ่มโครงการข้าวอินทรีย์ ตามแนวคิด 'Farm-to-Table' สั่งตรงจากชุมชนเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ในจังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษ สอดคล้องกับหนึ่งในแกนหลักของการให้บริการแบบดุสิต หรือ Dusit Graciousness เผยโครงการข้าวอินทรีย์ ทำให้กลุ่มดุสิตธานีกลายเป็นกลุ่มโรงแรมแห่งแรกในประเทศไทยที่นำข้าวอินทรีย์ 100% มาปรุงอาหารในโรงแรมเครือภายในประเทศ
นายศิรเดช โทณวณิก รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ และประธานคณะกรรมการบริหารจัดการความยั่งยืน บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการข้าวอินทรีย์เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการปรับบริการด้านอาหารให้สอดคล้องกับแกนหลัก 4 ด้านของ Dusit Graciousness ซึ่งประกอบด้วย บริการที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า (Service) บริการที่ตอบสนองการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะที่ดีทั้งกายและใจ (Well-being) บริการที่เข้าถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชุมชนและคนรอบข้าง (Locality) และบริการที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม (Sustainability)
สำหรับโครงการข้าวออร์แกนิกอินทรีย์ ได้รับการดูแลโดยดุสิตฟู้ดส์ และคณะกรรมการความยั่งยืนของบริษัทฯ ร่วมงานกับชุมชนเกษตรกรรม 4 แห่ง ที่ตำบลคอโค และตำบลหนองไผ่ ของจังหวัดสุรินทร์ รวมถึงตำบลห้วยทับทัน และตำบลหนองแค ของจังหวัดศรีสะเกษ เริ่มตั้งแต่การควบคุมคุณภาพ การฝึกอบรม บรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการจัดจำหน่าย เพื่อให้ชุมชนสามารถนำเสนอข้าวหอมมะลิออร์แกนิกคุณภาพสูงสำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง ซึ่งในปัจจุบันโรงแรมและรีสอร์ตในเครือดุสิตทั้งหมดในประเทศไทย รวมทั้งร้านอาหาร “บ้านดุสิตธานี” นับเป็นกลุ่มโรงแรมแห่งแรกในประเทศไทยที่ใช้ข้าวออร์แกนิก 100% ในการปรุงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและอร่อยสำหรับลูกค้าและพนักงาน
“ข้าวออร์แกนิกอินทรีย์ที่เราคัดสรรมาเป็นหนึ่งในพันธุ์ที่ดีที่สุด เพราะทุ่งกุลาร้องไห้เป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดในโลก โดยได้รับการขึ้นทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ โดยลักษณะพิเศษของข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ คือ ข้าวที่เก็บเกี่ยวได้มีคุณภาพดี ข้าวสารมีเมล็ดใส เมล็ดเรียวยาว และแกร่ง เมื่อนำมาหุงจะมีความหอมและนุ่ม โดยพื้นที่การผลิต การสีข้าว และการบรรจุหีบห่อต้องอยู่ในจังหวัดที่ทุ่งกุลาร้องไห้ตั้งอยู่เท่านั้น ซึ่งการจัดทำโครงการนี้ไม่เพียงแต่ให้ลูกค้าและพนักงานได้รับสารอาหารที่มีคุณภาพสูงเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ชุมชนเกษตรกรที่เราทำงานด้วยมีรายได้ที่สม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของพวกเขาให้ดีกว่าเดิม สอดคล้องกับภารกิจของกลุ่มดุสิตธานี ในการนำคุณค่าที่ยั่งยืนมาสู่ชุมชนในชนบทของประเทศไทย พร้อมๆ กับการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าและพนักงานของเรา ขณะเดียวกัน โครงการข้าวอินทรีย์ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ คุณภาพ และต้นทุนโดยรวมให้กับบริษัทฯ ดังนั้นจึงเป็น win-win อย่างแท้จริง” นายศิรเดชกล่าว
รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ และประธานคณะกรรมการบริหารจัดการความยั่งยืน บมจ.ดุสิตธานี กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมากลุ่มดุสิตธานีทำงานอย่างใกล้ชิดกับเกษตรกร ทั้งการช่วยวางระบบและกระบวนการเพื่อปรับปรุงผลผลิตเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะสร้างผลประโยชน์ระยะยาวสำหรับเกษตรกรทุกคนในโครงการ นอกจากนี้ กลุ่มดุสิตธานียังวางแผนที่จะลงทุนในชุมชนด้วยการซื้อโรงสีข้าว ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อเพิ่มยอดขายในอนาคต รวมถึงยังมีความตั้งใจที่จะช่วยสร้างช่องทางการขายออนไลน์ และนำไปใช้ในการปรุงอาหารของธุรกิจอื่นๆ ของบริษัทฯ อีกด้วย
นายเทวินทร์ ผันอากาศ ตัวแทนกลุ่มเกษตรอินทรีย์ ต.ห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ชุมชนมุ่งมั่นและตั้งใจกับการปลูกข้าวอินทรีย์คุณภาพสูง แต่ที่ผ่านมาต้องเผชิญกับปัญหาการหาตลาดมาตลอด ดังนั้น การที่กลุ่มโรงแรมดุสิตธานีเห็นถึงคุณค่าและความตั้งใจของพวกเราในการปลูกข้าวอินทรีย์ โดยสั่งจองและวางมัดจำซื้อข้าวล่วงหน้าเป็นจำนวนมากในอัตราที่ยุติธรรม จึงเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนด้านรายได้ให้แก่เกษตรกรโดยตรง นอกจากนี้ ความช่วยเหลืออื่นๆ ของกลุ่มดุสิตยังช่วยทำให้ชุมชนได้ทำสิ่งที่รักต่อไป และทำให้ธุรกิจข้าวออร์แกนิกเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย พวกเรารู้สึกภูมิใจมากที่ผู้คนจากทั่วโลกจะได้ลิ้มรสข้าวอินทรีย์ของชุมชนผ่านโรงแรมระดับ 5 ดาวของดุสิต
ทั้งนี้ กลุ่มดุสิตธานีนำข้าวหอมมะลิอินทรีย์มาปรุงอาหารที่โรงแรมและรีสอร์ตในเครือในประเทศไทย และบริษัทย่อยอื่นๆ ได้แก่ โรงเรียนสอนการประกอบอาหาร เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต และเอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย ซึ่งดุสิตเข้าซื้อกิจการในปี 2562 และมีแผนที่จะกระจายไปยังธุรกิจอื่นๆ ภายในปีหน้า