“ส.อ.ท.” เกาะติดการประชุมสมัชชาของพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 20 กรุงปักกิ่ง 16 ต.ค.นี้ซึ่งทั่วโลกต่างจับตา”สี จิ้น ผิง”ที่จะยังคงดำรงตำแหน่งผู้นำจีนสมัยที่ 3 ต่อไปอีก 5 ปี หวังยกเลิกมาตรการZero Covid-19 หนุนท่องเที่ยวไทยในระยะต่อไปบูมช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เผยโลกไม่เหมือนเดิมความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์รุนแรงเพิ่ม
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การประชุมสมัชชาของพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 20ซึ่งจะจัดขึ้นในกรุงปักกิ่งในวันที่ 16 ตุลาคมนี้คาดว่า “สี จิ้น ผิง” จะยังคงได้ตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ต่อไปอีก 5 ปีซึ่งแนวโน้มเป็นไปได้มากถึง 99% แต่ทั่วโลกยังจับตารอดูการผ่อนปรนนโยบายโควิด-1เป็นศูนย์หรือ Zero Covid-19 และแผนพัฒนาโลกของจีนในอีก 5 ปีข้างหน้าอีกด้วยเนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ของโลกและกำลังมีปัญหากับทางสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะปัญหาสงครามทางการค้า(เทรด์วอร์) และความตึงเครียดกรณีไต้หวัน
ทั้งนี้สำหรับไทยนั้นเมื่อสี จิ้น ผิง ยังคงเป็นผู้นำต่อไปนโยบายเศรษฐกิจที่มีต่อภูมิภาคอื่นๆ ก็คงไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะนโยบาย Made in China 2025 และการส่งเสริมอุตสาหกรรมบางประเภทเป็นพิเศษ จะยังคงมีการขับเคลื่อนต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกให้เติบโตต่อไปได้ดี และหากมีการยกเลิกมาตรการ Zero Covid-19 จะทำให้คนจีนสามารถเดนทางออกนอกประเทศได้และไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่นักท่องเที่ยวจีนจะต้องการเดินทางมาท่องเที่ยวก็จะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าโดยซึ่งจะรวมถึงสินค้าที่ต่อเนื่องจากการท่องเที่ยวอื่นๆ
“หากจีนมีความต่อเนื่องด้านโยบาย แน่นอนว่าเศรษฐกิจจีนก็คงเดินหน้าต่อเนื่อง และหากการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีมติเลือก สี จิ้น ผิง ก็คงต้องรอจังหวะให้การเมืองในจีนนิ่งก่อนเราจึงจะเห็นนโยบายเศรษฐกิจออกมา และเชื่อว่าจะมีเรื่องของการยกเลิกนโยบาย Zero Covid-19 ออกมาให้เห็นด้วย” นายเกรียงไกรกล่าว
ปัจจุบันโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วเพราะมีการแบ่งขั้วชัดเจนทำให้เกิดความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ( Geopolitical conflict )ที่มีการตอบโต้รุนแรงมากขึ้น เช่น เมื่อเร็วๆ นี้รัสเซียยิงขีปนาวุธกว่า 80 ลูกตอบโต้ยูเครน ซึ่งระยะต่อไปก็อาจทำให้สงครามทางการค้าจะรุนแรงมากขึ้นได้เช่นกันภายใต้ สี จิ้น ผิง ที่อาจจะใช้มาตรการด้านเศรษฐกิจตอบโต้สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะกรณีการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์หรือ Semiconductor shortages ที่ทางบริษัทผู้ผลิตชิฟรายใหญ่ ที่เป็นผู้ผลิตรายใหม่สัญชาติอเมริกาไม่ขายชิปให้กับบริษัทจีน ก็จะทำให้อุตสาหกรรมที่ใช้ชิฟเช่นด้านไอที และยานยนต์ไฟฟ้าได้รับผลกระทบต่อไป
“ ส.อ.ท.เองคงจะต้องติดตามปัญหาการขาดแคลนชิปใกล้ชิดเพราะอาจยกระดับกลายเป็นสงครามการค้าที่มากขึ้นได้ จากเดิมที่ปัญหานี้ก็ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ไปแล้วระดับหนึ่ง “นายเกรียงไกรกล่าว