ราคาเอทานอลเดือน ต.ค.ขยับมาแตะระดับ 29.24 บาทต่อลิตร จับตาแนวโน้มราคายังทรงตัวระดับสูงถึงต้นปี 2566 หลังราคามันสำปะหลังหนึ่งในวัตถุดิบการผลิตขยับสูงจากความต้องการต่างประเทศที่มากขึ้น ขณะที่ฝั่งของวัตถุดิบกากน้ำตาลลุ้นทยอยเปิดหีบฤดูใหม่ 23 พ.ย. เพิ่มปริมาณลดการตึงตัว ย้ำแม้แพงแต่ประโยชน์ก็ตกแก่เกษตรกร
นายพิพัฒน์ สุทธิวิเศษศักดิ์ นายกสมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย เปิดเผยว่า ราคาเอทานอลเดือน ต.ค.ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 29.24 บาทต่อลิตร จากเดิมเดือน ก.ย. ราคาอยู่ที่ 28.29 บาทต่อลิตร และมีแนวโน้มว่าราคาจะมีทิศทางทรงตัวระดับสูงถึงไตรมาสแรกของปี 2566 เนื่องจากวัตถุดิบจากมันสำปะหลังมีราคาค่อนข้างสูงจากตลาดต่างประเทศมีความต้องการที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับอยู่ในช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังจึงทำให้ปริมาณลดลงต่อเนื่อง
“ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เอทานอลขณะนี้ราคาเพิ่มขึ้นมาจากวัตถุดิบมันสำปะหลังที่มีราคาแพงเพราะความต้องการจากต่างประเทศที่สูงทำให้มีการส่งออกมากขึ้น ผู้ผลิตเอทานอลจากมันฯ ซื้อวัตถุดิบแพงก็จำเป็นต้องปรับราคาให้สะท้อนต้นทุนหากราคาไม่ปรับก็คงผลิตเพื่อจำหน่ายไม่ได้ ขณะที่ฟากของกากน้ำตาล (โมลาส) ที่เป็นวัตถุดิบอีกประเภทหนึ่งนั้นต่างจากมันฯ ที่สามารถเก็บไว้ในถังได้ทำให้ผู้ผลิตสามารถบริหารจัดการได้ดีกว่า ซึ่งการที่ราคาเอทานอลแพงแต่ประโยชน์ก็ตกแก่เกษตรกรทั้งมันสำปะหลังและอ้อย” นายพิพัฒน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปริมาณกากน้ำตาลขณะนี้ก็เริ่มลดลงต่อเนื่อง โดยเตรียมรอการเปิดหีบอ้อยฤดูกาลใหม่ (ปี 65/66) ที่คาดว่าจะทยอยเปิดหีบวันที่ 28 พ.ย.นี้ ก็จะทำให้เริ่มมีกากโมลาสทยอยเข้ามาป้อนระบบมากขึ้นซึ่งก็จะทำให้ปัญหาการตึงตัวคลี่คลายลงได้ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานเอทานอลทั้งจากมันสำปะหลังและกากน้ำตาลจำนวน 27 แห่ง กำลังการผลิตรวมอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเฉลี่ยอยู่ที่ราว 30 ล้านลิตรต่อวัน
นายพิพัฒน์ยังกล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้เห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนินการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไป 2 ปี จากเดิมครบกำหนดวันที่ 24 กันยายน 2565 เป็นวันที่ 24 กันยายน 2567 ถือเป็นเรื่องที่ดีและเห็นว่าเอทานอลในอนาคตมีแนวโน้มที่จะสามารถตอบโจทย์เป้าหมายของไทยและของโลกที่จะลดภาวะก๊าซเรือนกระจกเพื่อแก้ไขโลกร้อนได้เนื่องจากเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
“ต่างประเทศตื่นตัวในเรื่องของการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นตัวหลักในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดโลกร้อนมาก มีการนำน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพไปเป็นเชื้อเพลิงอากาศยาน นำไปเป็นวัตถุดิบสำหรับทำไบโอพลาสติก และล่าสุดยังมีการนำเอทานอลไปใช้ผลิตยางรถยนต์ทดแทนยางสังเคราะห์ที่ทำมาจากปิโตรเลียมได้อีกด้วย ซึ่งเบื้องต้นต่างประเทศมาหารือและพร้อมรับซื้อเอทานอลจำนวนมาก” นายพิพัฒน์กล่าว
แหล่งข่าวจาก 3 สมาคมโรงงานน้ำตาล กล่าวว่า โรงงานน้ำตาลยืนยันว่าชาวไร่อ้อยคู่สัญญากับโรงงานไม่ได้มีปัญหาในเรื่องของการยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อขอให้คุ้มครองกำหนดให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) พิจารณาการเปิดหีบอ้อยฤดูหีบปี 65/66 ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ย.เป็นต้นไป เนื่องจากโรงงานได้ลาออกจากคณะทำงาน 5 ชุดภายใต้ พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทรายซึ่งรวมถึง กอน.ด้วยเพื่อแสดงจุดยืนที่ไม่รับ พ.ร.บ.อ้อยฯ ฉบับใหม่ที่แก้ไขคำนิยาม "กากอ้อย" มาเป็นผลพลอยได้
“พ.ร.บ.อ้อยฯ เดิมกำหนดผลพลอยได้แค่ กากน้ำตาลและน้ำตาลเท่านั้น แต่พอร่างฉบับใหม่เพิ่มกากอ้อยเข้าไป โรงงานเห็นว่าได้ลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งหมดและพัฒนามูลค่าเพิ่มต่างๆ จึงไม่เห็นด้วย และที่ผ่านมาพยายามขอคัดค้านมาตลอด ซึ่งก็มั่นใจว่าการเปิดหีบจะเป็นไปตามกำหนดเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย” แหล่งข่าวกล่าว