ผู้จัดการรายวัน 360 - “ไทยแอทลาสโกลบอล ฟูด” หวนคืนสังเวียนตลาดเครื่องดื่มเต็มกำลัง ปลุกปั้น “D7 คอมบูชะ” ชูเป็นสินค้าเรือธง สร้างชื่อและสร้างยอดขายหลักนับจากนี้ หลังผิดหวังกับ กาแฟ D7 เมื่อนานมาแล้ว งานนี้เอาจริงทุ่มงบตลาด 100 ล้านบาท ส่ง 3 พรีเซ็นเตอร์ลุย หวังรายได้ปีนี้ 200 ล้านบาท ปูทางสู่เป้า 5 ปีแตะ 400 ล้านบาท โดย D7 คอมบูชะ ต้องมีสัดส่วนยอดขายหลักที่ 50%
นายจักรกฤช สุขวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยแอทลาสโกลบอล ฟูด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ “D7” เปิดเผยว่า ช่วง 10-15 ปีก่อนบริษัทเคยบุกตลาดเครื่องดื่มครั้งใหญ่ ด้วยการเปิดตัวกาแฟพร้อมดื่ม D7 โดยมีป๋อ-ณัฐวุฒิ เป็นพรีเซ็นเตอร์ ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้บริโภคได้รู้จักกับแบรนด์ D7 แต่เนื่องจากตลาดกาแฟพร้อมดื่มมีผู้เล่นหลักที่แข็งแกร่งอยู่แล้วถึง 2 แบรนด์ คือ เบอร์ดี้ และเนสกาแฟ และต่างฝ่ายต่างแข่งขันทำตลาดกันอยู่ตลอด ทำให้แบรนด์อื่นๆ ที่เข้ามาไม่สามารถช่วงชิงแชร์ในตลาดนี้ได้มากนัก กาแฟ D7 จึงได้ถอยออกมา
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจในกลุ่มเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แบรนด์ D7 ไม่ว่าจะเป็น ชาไทย หรือเครื่องดื่มผสมน้ำผลไม้ เป็นต้น และเน้นช่องทางเทรดิชันนัลเทรด หรือค้าส่ง ค้าปลีก และร้านค้าทั่วไปเป็นหลัก ทำให้ห่างหายไปจากโมเดิร์นเทรด ส่งผลให้ในปีนี้บริษัทได้กลับมาทำตลาดในช่องทางโมเดิร์นเทรดอีกครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ชาหมัก หรือ คอมบูฉะ ภายใต้แบรนด์ “D7 คอมบูชะ” ซึ่งได้เปิดตัวทำตลาดตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมี โบ-เมลดา เป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่พบว่าในแง่มาร์เกตติ้งอาจจะวางแผนผิดไปบ้าง ทำให้ยอดขายไม่ค่อยขยับ
ส่งผลให้ในเดือน ต.ค. 65 นี้เป็นต้นไปได้เปิดตัวอีก 2 พรีเซ็นเตอร์เข้ามาเสริมทัพ คือ มาย และอาโป นักแสดงหนุ่มซีรีส์วาย ที่กำลังดังอยู่ในเวลานี้ มาร่วมขับเคลื่อนแบรนด์ สร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ตรงกลุ่มมากขึ้น ภายใต้งบการตลาดรวมกว่า 100 ล้านบาท เชื่อว่าจะส่งผลให้สิ้นปีนี้บริษัทจะมีรายได้รวมที่ 200 ล้านบาท มาจาก D7 คอมบูชะ 60-70 ล้านบาท ที่ทำยอดขายเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ D7 แลคโต น้ำองุ่นขาวผสมนมเปรี้ยว 60 ล้านบาท, D7 Kurve ชาไทย 20 ล้านบาท และอื่นๆ รวมกัน
“บริษัทวางแผนให้ D7 คอมบูชะ เป็นสินค้าหลักในการขับเคลื่อนรายได้ หรือภายใน 5 ปีนับจากปีนี้จะต้องทำยอดขายเป็น 50% ของรายได้รวม ซึ่งถึงเวลานั้นคาดว่ารายได้รวมบริษัทจะทำได้อย่างน้อย 400 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตขึ้นปีละ 15-20% ขณะที่แผนเบื้องต้นในปีหน้ายังไม่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่จะเน้นเพิ่มไลน์อัพในแบรนด์ D7 คอมบูชะ อีก 1-2 รสชาติ มาพร้อมกับพรีเซ็นเตอร์ใหม่อีก 2-3 คน ด้วยงบการตลาดที่วางไว้อีกราว 80 ล้านบาทที่จะใช้ในปี 2566” นายจักรกฤชกล่าว
สาเหตุที่เลือกทำ ชาหมัก นั้น เพราะมองเห็นโอกาส ผู้เล่นยังน้อย ที่สำคัญเป็นเทรนด์ทั่วโลกที่กำลังเติบโตในกลุ่มเครื่องดื่มชา ขณะที่ในไทยมองว่า ตลาดชาหมัก หรือ คอมบูชะ เป็นนีชมาร์เก็ต มูลค่าตลาดน่าจะประมาณ 1,000 ล้านบาท และมีผู้เล่นหลักในเวลานี้เพียง 3 แบรนด์ คือ บีทาเก้น ที่เน้นเป็น คอมบูชะแบบเฟรช ตามด้วย D7 คอมบูชะ มาในรูปแบบกระป๋อง สามารถเก็บได้นาน 1ปี และมายด์ คอมบูชะ ที่มาในรูปแบบกระป๋องเช่นเดียวกัน ซึ่งปลายปีนี้น่าจะมีเพิ่มเข้ามาอีก 1 แบรนด์ และปีหน้าอีก 1-2 แบรนด์
ทั้งนี้ D7 คอมบูชะ พร้อมวางจำหน่ายทั้งร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ต ทั่วประเทศ อาทิ เซเว่น อีเลฟเว่น, โลตัส, กรูเมต์มาร์เก็ต, ท็อป ซูเปอร์มาร์เก็ต, ฟู้ดแลนด์, วิลล่า มาร์เก็ต รวมถึงช่องทางออนไลน์ชั้นนำ เช่น ช้อปปี้, ลาซาด้า เป็นต้น ราคาปลีกกระป๋องละ 30 บาท หากเทียบกับเครื่องดื่มในกลุ่มคอมบูชะนำเข้าที่มีราคาเฉลี่ยประมาณ 80 บาทขึ้นไป หรือแบรนด์อื่นในตลาดที่ผลิตโดยกลุ่ม SMEs รายย่อย ก็จำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 80 บาทขึ้นไปเช่นกัน
ปัจจุบันเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ D7 แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. D7 แลคโต น้ำองุ่นขาวผสมนมเปรี้ยว ที่เหมาะกับทุกวัยดื่มได้ง่ายๆ มี 5 รสชาติ คือ องุ่น ลิ้นจี่ ส้ม ผลไม้รวม และออริจินัล 2. D7 กาแฟและชาไทย กระป๋องพร้อมดื่ม 3. D7 Kurve ชาไทย 4. D7 Zlim และ D7 Beautie กาแฟผสมไฟเบอร์ แอลคานิทีนและคอลลาเจน และ 5. D7 คอมบูชะ ชาหมักผสมไฟเบอร์ 7000 มิลลิกรัม พร้อมวิตามิน B และ D.