การตลาด - ลุ้นตลาดทีวีกลับมาโต 5% นับเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี สู่ 24,300 ล้านบาท หลังพ้นสภาวะโควิดคลี่คลาย “แอลจี” จับ 5 เทรนด์ตลาดทีวี บุกหนักตอกย้ำผู้นำทีวีพรีเมียม ส่ง OLED รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมเพิ่มไลน์อัพ QNED ตอบโจทย์ลูกค้า 4 กลุ่ม มั่นใจยอดขายโต 10% แตะ 5,350 ล้านบาท พร้อมแชร์รวมที่ 21% ท้าอีก 3 ปีปักธงผู้นำตลาด
นายอำนาจ สิงหจันทร์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่าตลาดทีวีติดลบต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2562-2564 ส่วนในปี 2565 นี้คาดการณ์ว่าจะเป็นปีแรกที่จะกลับมาเติบโตได้ 5% หรือมีมูลค่าที่ 24,300 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นยอดขายทีวีในปี 2565 นี้มาจาก 5 ส่วนหลัก คือ 1. จากการปรับตัวช่วงวิกฤตโควิด-19 เศรษฐกิจเริ่มกลับมาคึกคักขึ้น 2. ถึงรอบการเปลี่ยน หรืออัปเกรดรุ่นใหม่ 3. ผู้บริโภคมองหาการใช้งานทีวีที่หลากหลายและเหนือกว่าแค่รับชมปกติ 4. เทรนด์การตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง และ 5. การแข่งขันของฟุตบอลระดับโลก (World cup) ในช่วงปลายปี
ในส่วนของแอลจี ยังพบด้วยว่าหลังจากโควิดคลี่คลายพบ 5 เทรนด์เกี่ยวกับตลาดทีวีที่เปลี่ยนแปลงไป คือ 1. สมาร์ทีวีกลายมาเป็นรุ่นปกติ, 2. ความคมชัดระดับ 4K เป็นความคมชัดระดับพื้นฐานที่ต้องมี, 3. บิ๊กสกรีนจากเดิมเริ่มที่ 50 นิ้ว ปัจจุบันขยับไปเริ่มกันที่รุ่น 70 นิ้ว, 4. เทคโนโลยีที่ดีที่สุดกลายเป็นเรื่องจำเป็น และ 5. Game & VDO on Demand กลายเป็นฟังก์ชันที่ต้องมีให้ครบ
ส่งผลให้ในปีนี้แอลจีได้วางกลยุทธ์หลักของสินค้า 2 ข้อหลัก คือ 1. การตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาด OLED TV ยอดขายอันดับ 1 ทั่วโลก 9 ปีซ้อน และ 2. การเพิ่มไลน์อัพสินค้ากลุ่มพรีเมียมทีวี QNED TV (3 รุ่น เป็น 9 รุ่น) เริ่มจากการเปิดตัวนวัตกรรมทีวีใหม่ล่าสุด กับ LG OLED นำโดยทีวี LG SIGNATURE OLED 8K ซีรีส์ Z2 ขนาด 88 นิ้ว ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผลอัจฉริยะที่อัปเกรดล่าสุด α (อัลฟา) 9 Gen5 AI Processor 8K เสริมระบบการทำงานของทีวีให้รวดเร็วและเสถียรยิ่งขึ้น แสดงภาพและคอนทราสต์คมชัดสูงสุด เอาใจผู้ที่ต้องการรับชมภาพเนื้อหาคมชัดสูงด้วยการเพิ่มตัวเลือกด้วยขนาด 77 นิ้ว
พร้อมเติมเต็มไลน์อัพด้วย LG OLED evo 4K ซีรีส์ G2, C2 และ LG OLED 4K ซีรีส์ B2 และ A2 รวมทั้งหมด 5 ซีรีส์ มีขนาดหลากหลายยิ่งขึ้น ตั้งแต่ 42-83 นิ้ว โดยขนาดใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ ได้แก่ 42 นิ้ว และ 83 นิ้ว ราคา OLED TV เริ่มต้นที่ 42,990 บาท นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวไลน์อัพทีวี LG QNED ทั้งหมด 4 ซีรีส์ ได้แก่ QNED MiniLED ซีรีส์ QNED99 8K, ซีรีส์ QNED91 4K โดยมีสองซีรีส์ใหม่ล่าสุดในปีนี้ ได้แก่ QNED MiniLED ซีรีส์ QNED86 4K และ QNED ซีรีส์ QNED80 4K ขนาดตั้งแต่ 55-86 นิ้ว จากเดิมที่มีขนาดให้เลือกสูงสุดที่ 75 นิ้ว
ทั้งนี้ LG QNED MiniLED ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ มอบสีสันเจิดจรัสกว่าที่เคยด้วยการผสานเทคโนโลยี Quantum Dot และ NanoCell ไว้ด้วยกัน ทำงานร่วมกับหลอดไฟ Mini LED ขนาดจิ๋ว ทำการหรี่แสงอย่างแม่นยำมากถึง 2,400 จุด จึงให้สีสันสมจริงยิ่งกว่าทีวี LCD รุ่นอื่นๆ นับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมทีวีที่พัฒนาขึ้นเพื่อนำเสนอให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าอย่างครอบคลุมที่สุด
ในส่วนของแผนการตลาดนั้น จะเน้นใน 4 ส่วนหลัก คือ 1. สร้างแบรนด์ LG TV ให้เข้มแข็งและเป็นที่รู้จักในวงกว้างผ่านการใช้สื่อ ATL เช่น TVC และ OOH, 2. ให้ความสำคัญต่ Customer Experience (CX) ด้วยการพัฒนาช่องทางให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลสินค้าได้สะดวกมากขึ้น, 3. เน้นสื่อ Digital ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย จัดทำวิดีโอรีวิวสินค้าเชิงไลฟ์สไตล์มากขึ้น และ 4. สร้าง Experience zone ที่หน้าร้านด้า พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญแนะนำสินค้าให้ลูกค้าได้ทดลองใช้งานจริง
จากแผนการดำเนินงานที่ตั้งเป้าหมายในปี 2565 นี้ไว้ 4 ข้อหลัก คือ 1. จะมี Display สินด้าระดับพรีเมียมเพิ่มมากขึ้น และครอบคลุมทั่วประเทศ ประกอบด้วย OLED 1,000 เครื่อง, QNED 1,200 เครื่อง และทีวีขนาด 70 นิ้วขึ้นไป 1,000 เครื่อง, 2. ตั้งเป้ายอดขาย OLED TV ในปีนี้จำนวน 19,000 เครื่อง หรือ 800 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งของตลาดที่ 80% ครองอันดับที่ 1 ในประเทศไทย 10 ปี ติดต่อกัน, 3. มีส่วนแบ่งของตลาดทีวีขนาด 70 นิ้วขึ้นไป ครองส่วนแบ่งที่ 35% และ 4. มีส่วนแบ่งตลาดทีวีภาพรวมทั้งหมด 23% และยอดขายโตขึ้น 10%
“บริษัทตั้งเป้ายอดขายทีวีรวมในปีนี้ที่ 5,350 ล้านบาท โตขึ้น 10% หรือทำรายได้ให้แอลจี 40% เทียบจากรายได้รวมทั้งหมด พร้อมส่งผลให้มีส่วนแบ่งในตลาดรวมทีวีอยู่ที่ 21% ห่างจากเบอร์ 1 ที่มีแชร์อยู่ 27% โดยมั่นใจว่าจากแผนการรุกตลาดพรีเมียมไซส์ใหญ่อย่างต่อเนื่อง ภายใน 3 ปีจากนี้มั่นใจว่าแอลจีจะก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดรวมทีวีได้” นายอำนาจกล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวมตลาดทีวีตั้งแต่ปี 2562-2564 พบว่าติดลบต่อเนื่อง เริ่มจากปี 2562 มีมูลค่า 27,900 ล้านบาท ติดลบ 7.9% ปี 2563 มีมูลค่า 26,700 ล้านบาท ติดลบ 4.1% ปี 2564 มีมูลค่า 23,100 ล้านบาท ติดลบ 13.7% อันเนื่องจากโควิด-19 เป็นสาเหตุหลัก ขณะที่ในปี 2565 นี้ ครึ่งปีแรกพบว่ามีมูลค่า 13,500 ล้านบาท เติบโต 0.5% คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีนี้ตลาดทีวีรวมจะกลับมาเติบโตได้ 5% หรือมีมูลค่าได้กว่า 24,300 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อแยกเฉพาะเซกเมนต์ OLED TV พบว่า 1. ปี 2562 มีมูลค่า 556 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.9% ของตลาดรวมทีวี หรือมีจำนวนกว่า 12,000 เครื่อง จากทั้งหมด 2.7 ล้านเครื่อง, 2. ปี 2563 มีมูลค่า 510 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.9% ของตลาดรวมทีวี หรือมีจำนวนกว่า 14,000 เครื่อง จากทั้งหมด 2.9 ล้านเครื่อง, 3. ปี 2564 มีมูลค่า 647 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.8% ของตลาดรวมทีวี หรือมีจำนวน 15,500 เครื่อง จากทั้งหมด 2.1 ล้านเครื่อง, 4. ปี 2565 คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่า 1,000 ล้านบาท คิดเป็น 4.1% ของตลาดรวม หรือมีจำนวนที่ 24,000 เครื่อง จากทั้งหมด 2,200,000 เครื่องในตลาด