xs
xsm
sm
md
lg

IRPC ลั่นปิดดีล M&A สิ้นปีนี้ 1โครงการ แย้ม ต.ค.ปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นฉุดผลดำเนินงาน H2 วูบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



IRPC ลั่นปิดดีลซื้อกิจการ (M&A) ในไทยอย่างน้อย 1 โครงการช่วงครึ่งหลังปี 2565 ขณะที่ผลดำเนินงานครึ่งปีหลังต่ำกว่าครึ่งปีแรก เหตุค่าการกลั่นอ่อนตัวลงและมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นช่วง ต.ค.นี้ราว 20 วัน พร้อมตั้งเป้าหมายองค์กร Net Zero Emission ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2060

นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า บริษัทคาดปิดดีลควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) ธุรกิจพลาสติกชนิดพิเศษ Specialty ในไทยอย่างน้อย 1 โครงการ ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวทันที

ทั้งนี้ IRPC ตั้งงบลงทุน 5 ปีนี้ (2565-69) เฉลี่ยปีละ 1-1.2 หมื่นล้านบาท โดยในปี 2565 บริษัทวางงบลงทุนค่อนข้างมากอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 และการซื้อกิจการ (M&A) ที่ล่าช้า ทำให้การใช้งบลงทุนปีนี้ไม่เข้าเป้า คาดว่าอยู่ที่ 9,000-10,000 ล้านบาท ปัจจุบันใช้ไปแล้ว 6,000-7,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในการลงทุนโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลตามมาตรฐานยูโร 5 (Ultra Clean Fuel Project: UCF)

สำหรับผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 2565 บริษัทมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในช่วงต้นเดือน ต.ค.นี้ราว 20 วัน และปิดซ่อมบำรุงโรงงานบางส่วนในช่วงกลางเดือนกันยายนด้วย ทำให้กำลังการกลั่นน้ำมันในครึ่งปีหลังเฉลี่ยอยู่ที่ 160,000-165,000 บาร์เรล/วัน ต่ำลงกว่าครึ่งแรกปีนี้ที่โรงกลั่นไออาร์พีซีมีกำลังการผลิตเฉลี่ย 190,000-195,000 บาร์เรล/วัน

ดังนั้น ผลประกอบการบริษัทในครึ่งหลังปีนี้จะต่ำกว่าครึ่งแรกของปี 2565 เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นทำให้กำลังการกลั่นลดลง รวมทั้งราคาน้ำมันดิบในช่วง 6 เดือนหลังปี 2565 มีความผันผวนมาก คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 105 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งราคาน้ำมันดิบได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วเมื่อไตรมาส 2/2565 ทำให้ไตรมาส 3 นี้บริษัทจะไม่น่ามีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน ทำให้ค่าการกลั่น (GRM) ครึ่งปีหลังอยู่ที่ 20-22 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล


ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี ราคาได้ผ่านจุดต่ำสุดเมื่อไตรมาส 2/2565 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่สูงทำให้วัตถุดิบดีดตัวเพิ่มขึ้น และมีกำลังการผลิตใหม่เข้าสู่ทั้งโครงการปิโตรเคมีจากจีนและมาเลเซีย ส่งผลให้โรงงานปิโตรเคมีบางแห่งต้องลดกำลังการผลิตลง ซึ่งในอนาคตบริษัทมุ่งเน้นการผลิตเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษต่อยอดในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) อุปกรณ์สิ้นเปลืองทางการแพทย์และอื่นๆ ที่เป็นเทรนด์ตามกระแสโลก

โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนขายเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษเป็น 55% ในปี 2573 จากปัจจุบันอยู่ที่ 24% ซึ่งเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษจะมีความต้องการใช้มากขึ้นตามทิศทางความต้องการของตลาด โดยก่อนหน้านี้บริษัทร่วมทุนกับบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ในเครือปตท. ผลิตผ้าไม่ถักทอใช้ขึ้นรูปด้วยวิธี Melt Blown เพื่อผลิตหน้ากากอนามัย ผ้าอ้อมเด็ก เป็นต้น

นายชวลิตกล่าวต่อไปว่า การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศและภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น IRPC ได้ตั้งเป้าหมายสู่องค์กร Net Zero Emission ในปี 2060 โดยสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 20% ภายในปี 2030 จากปีฐาน 2018 ที่ผ่านมา IRPC มีความมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างต่อเนื่องเพื่อไปสู่ Net Zero Company ผ่านการดำเนินการด้วยกลยุทธ์ ERA ดังนี้คือ1. Eco - operation & technology การปรับปรุงกระบวนการผลิตภายในบริษัทฯ ลดการใช้พลังงานผ่านการกำหนดเป้าหมายโดยใช้ดัชนีชี้วัดการใช้พลังงาน และเปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดทดแทน พร้อมทั้งกำลังดำเนินการศึกษาการใช้พลังงานทางเลือก โดยการลงทุนในโครงการ Solar Rooftop และ โครงการ Solar Farm เพื่อใช้สำหรับกระบวนการผลิตในโรงงานต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ IRPC จะลงทุนติดตั้งโซลาร์ลอยน้ำในบ่อน้ำดิบสำรองของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอีก 8 เมกะวัตต์ รวมเป็น 20 เมกะวัตต์ รวมทั้งโครงการ UCF ผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 ช่วยลดปัญหามลภาวะฝุ่นละออง PM 2.5 คาดว่าจะพร้อมดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในต้นปี 2567

2. Reshape portfolio มุ่งแสวงหานวัตกรรมที่ส่งเสริมธุรกิจคาร์บอนต่ำ ธุรกิจพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และใช้ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ และ 3. Absorption and offset โดยได้ดำเนินการร่วมกับกลุ่ม ปตท. ทั้งโครงการปลูกป่า และโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) หรือ CCS Hub Model โดยจะเริ่มศึกษาในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี เพื่อเป็นต้นแบบสำคัญในการขยายผลสู่ระดับประเทศได้ในอนาคต


กำลังโหลดความคิดเห็น