การตลาด - จับตา “อินฟลูเอนเซอร์” คู่แข่งเบอร์ต้นๆ ของอุตสาหกรรมสื่อโฆษณา ที่ผ่านมาซิวเม็ดเงินไปจนล่ำซำ ไม่แปลกใจที่ใครก็อยากเป็น เพราะเทียบชั้นดาราได้สบาย ได้ทั้งชื่อเสียงและเงินทองมาแบบง่ายๆ แถมทรงอิทธิพลยิ่งกว่าซุป’ตาร์ เทรนด์นี้กำลังมาแรง เหตุเพราะช้อปปิ้งออนไลน์ฝังลึกลงบนปลายนิ้ว กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โอกาสทองพลิกชีวิตคนธรรมดาสู่การเป็น “อินฟลูเอนเซอร์” เครื่องมือโปรโมทสินค้าชั้นยอด แค่มีผู้ติดตามหลักล้านขึ้นไป เตรียมตัวเป็นเศรษฐีได้เลย เพียงโพสต์ 1 ครั้ง รับค่าเหนื่อย 10,000 ดอลลาร์สหรัฐไปเบาๆ จากสถิติล่าสุดปี 64 ตลาด Creator Economy Market ทั่วโลก มีจำนวนถึง 47 ล้านคน ฟันธงอีก 2 ปี “อินฟลูเอนเซอร์” กวาดเงินเข้ากระเป๋าไปไม่ต่ำกว่า 10.7 ล้านล้านบาท
เคยสังเกตกันไหมว่า ช่วง 2-3ปีที่ผ่านมานี้ เราได้เห็นผู้ทรงอิทธิพล หรือที่เรียกกันติดปากว่า “อินฟลูเอนเซอร์” โดยเฉพาะพวกหน้าใหม่ๆเกิดขึ้นบนโลกออนไลน์จำนวนมาก ทั้งในรูปแบบของยูทูปเบอร์, ดาวติ๊กต็อก, เฟซบุ๊กแฟนเพจ รวมไปถึง อินสตาแกรม
บุคคลเหล่านี้มีทั้งที่เป็นดารานักแสดง และคนธรรมดาบ้านๆที่ดังเปรี้ยงเพียงชั่วข้ามคืน แล้วเงินทองก็ไหลมาเทมา และมักจะโพสต์อวดรวยบนโลกโซเชียลกันแบบไม่มีใครยอมใคร เดี๋ยวนี้เงินมันหาง่ายกันขนาดนั้นเลยหรือ? ทำไมอาชีพนี้ถึงรวยเร็วเว่อร์ รายได้ดี มีรถหรูขับ มีบ้านหลังโตๆ มีเงินเข้ากระเป๋าเป็นล้านๆ ในเวลาไม่ถึงปี กระแสมันยั่วใจขนาดนี้ จึงไม่แปลกใจที่เด็กรุ่นใหม่ๆ พร้อมที่จะกระโจนเข้าสู่อาชีพ “อินฟลูเอนเซอร์” กันสนั่นโซเชียล
แน่นอนว่าเทรนด์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่กำลังระบาดหนักไปทั่วทุกมุมโลก
“ธอทฟูล มีเดีย” ได้รวบรวมข้อมูลพบว่า ในปี 2563 ตลาดโฆษณาทั่วโลก (Global Advertising Market) มีมูลค่ารวมที่ 583,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยได้กว่า 20.8 ล้านล้านบาท โดยที่สื่อโฆษณาดิจิทัลมีสัดส่วน 47% และในปี 2565นี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 745,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งสื่อโฆษณาดิจิทัลขยับสัดส่วนเพิ่มเป็น 55% ขณะที่อีก 2 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2567 ตลาดโฆษณาทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นไปเป็น 824,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และสื่อโฆษณาดิจิทัล จะขยับสัดส่วนขึ้นเป็น 59% ซึ่งในสัดส่วน59%นี้ กว่า60% มาจากตลาดครีเอเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์นั่นเอง
“ภาพรวมตลาดโฆษณาทั่วโลกในอีก 2ปีข้างหน้า คาดการณ์ว่าสื่อโฆษณาดิจิทัลจะมีสัดส่วน 59% คิดเป็นมูลค่าที่ 483,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ตีเป็นเงินไทยได้กว่า 17.2 ล้านล้านบาท ซึ่งในสื่อนี้กว่า 40% เป็นโฆษณาแบบ Classified และ Paid Search ส่วนที่เหลือกว่า 60% จะเป็นในเรื่องของ Displayed, Video & Social Media ซึ่งครีเอเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์อยู่ในส่วนนี้นั่นเอง” นายเบียน เคียต ถัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธอทฟูล มีเดีย ประเทศไทย จำกัด กล่าวให้ข้อมูล
*** 3 ปัจจัย บูมตลาด อินฟลูเอนเซอร์
สาเหตุที่ทำให้มูลค่าตลาดอินฟลูเอนเซอร์เติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นอาชีพในฝันของผู้คนทั่วโลกนั้น มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ โซเชียลมีเดีย, โซเชียล คอมเมิร์ซ และเทรนด์วิดีโอสั้น
นายเบียน เคียต ถัน ได้กล่าวว่า อินฟลูเอนเซอร์เติบโตอย่างรวดเร็ว เกิดจาก 3 ปัจจัย และปัจจัยแรก คือการเข้าถึงโซเชียลมีเดีย 42% ของประชากรทั่วโลก และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นำมาซึ่งปัจจัยที่สอง คือ การเติบโตของโซเชียลคอมเมิร์ซ โดยปี2565 นี้ ตลาดโซเชียลคอมเมิร์ซทั่วโลกมีมูลค่า 751,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในปี2568 จะเพิ่มเป็น 1,590,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และในปี2571 จะมีมูลค่าสูงถึง 3,370,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
ส่วนข้อมูลในประเทศไทยนั้น ระบุว่า มีการใช้จ่ายบนโลกออนไลน์ทั้งหมดถึง 19,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และไทยมีผู้เล่นโซเชียลมีเดีย 81% หรือกว่า 57 ล้านคน นอกจากนี้กว่า 50% ยังเลือกช้อปปิ้งผ่านโซเชียลคอมเมิร์ซ โดยทั้งหมดใช้เวลาบนโลกอินเทอร์เน็ต 9 ชั่วโมงต่อวัน และกว่า 3 ชั่วโมง เป็นการเล่นโซเชียลมีเดีย มีเฟซบุคเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใช้งานมากที่สุด รองลงมา คือ YouTube ติ๊กต็อก และอินตราแกรม ตามลำดับ
ทิศทางการเล่นโซเชียลมีเดีย และการเติบโตของโซเชียลคอมเมิร์ซนำมาสู่ปัจจัยที่ 3 คือ ฟีเจอร์เทรนด์ ในรูปแบบ “วิดีโอสั้น” ที่กำลังเป็นที่นิยม จนกลายมาเป็นเครื่องมือทางการขายที่สำคัญของโซเชียลคอมเมิร์ซ และเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างคนธรรมดาให้เป็นที่รู้จักจนมีผู้ติดตาม และกลายมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ในระดับเริ่มต้น ซึ่งระดับนี้มีเพิ่มขึ้นมากมายและเป็นกลุ่มใหญ่สุดของตลาดอินฟลูเอ็นเซอร์
อย่างไรก็ตามคอนเทนต์ที่ถูกสร้างโดยอินฟลูเอนเซอร์และทีมงานที่เกี่ยวข้อง เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่าครีเอเตอร์ ซึ่งทาง “ธอทฟูลมีเดีย” ได้รวบรวมไว้ด้วยว่า ปี 2564 ที่ผ่านมา ตลาด Creator Economy Market Size มีจำนวนครีเอเตอร์ทั่วโลกสูงถึง 47 ล้านคน กระจายอยู่ในหลายๆแพลตฟอร์ม อันดับ1 คือ อินสตาแกรม มี 23 ล้านคน 2.Youtube 12 ล้านคน 3.Twitch 2.7ล้านคน 4.อื่นๆรวมกันอีก 2 ล้านคน
โดยในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือในปี 2567 คาดการณ์ว่าตลาดครีเอเตอร์จะกอบโกยเม็ดเงินไปถึง 300,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 10.7 ล้านล้านบาท
***เพราะโลกนี้หมุนด้วยอินฟลูเอนเซอร์?
อย่างไรก็ตาม จากจำนวนครีเอเตอร์ 47 ล้านคน มีเพียง 2 ล้านกว่าคนเท่านั้น ที่จัดอยู่ในระดับ Professionals เป็นกลุ่มที่แอกทีฟ สร้างคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง จนกลายมาเป็นกลุ่มคนที่มีชื่อเสียง ทรงอิทธิพล เป็นอินฟลูเอนเซอร์ ที่มีฐานแฟนคลับหรือสมาชิกติดตามเป็นจำนวนมาก ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีคนกลุ่มนี้อยู่มากสุด คือ
1.Youtube 1 ล้านคน
2.อินสตาแกรม 500,000 คน
3.Twitch 300,000 คน
4.อื่นๆรวมกันอีก 200,000 คน
นอกจากนี้ อินฟลูเอนเซอร์ ยังแยกออกเป็น 4 ระดับ คือ
1.ระดับนาโน ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาทั่วไป ที่เริ่มมีคนรู้จักและมีผู้ติดตามไม่เกิน 10,000 คน
2.ระดับไมโคร มีผู้ติดตามไม่เกิน1 แสนคน
3.ระดับมาโคร มีผู้ติดตามมากกว่า1 แสนคน แต่ไม่เกิน1 ล้านคน
4.ระดับเมกกะ มีผู้ติดตามมากกว่า1 ล้านคนขึ้นไป
นายเบียน เคียต ถัน กล่าวต่อว่า ปัจจุบันคนธรรมดาที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ มีหน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน และผู้บริโภคเลือกที่จะเชื่ออินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นคนธรรมดามากกว่าคนดังอีกด้วย จะทำอะไร จะซื้ออะไร ก็เลือกที่จะหาข้อมูลผ่านอินฟลูเอนเซอร์กลุ่มนี้ไว้ก่อน เพราะคนดังหรือดารา ดูเฟค ไม่จริงใจ ดูก็รู้ว่าถูกจ้างมาโพสต์ขายของมากกว่าคนธรรมดาที่รีวิวใช้จริง
ยกตัวอย่าง เช่น อัตราการมีส่วนร่วมบน TikTok หากใช้อินฟลูเอนเซอร์ระดับนาโน พบว่า อัตราการมีส่วนร่วมสูงถึง 18%, ไมโคร 10%, มาโคร 7% และเมกกะ 5% จากข้อมูลดังกล่าว ส่งผลให้แบรนด์และสินค้าหันมาใช้อินฟลูเอนเซอร์ระดับนาโนและไมโครมากขึ้น เพราะถือเป็นเครื่องมือโฆษณาที่มีการว่าจ้างหรือมีค่าใช้จ่ายน้อยลงแต่ให้การเข้าถึงและมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับดาราดังๆ
***เรตค่าจ้างอินฟลูเอนเซอร์
อย่างไรก็ตาม แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นอินฟลูเอนเซอร์เหมือนกัน แต่ค่าจ้างได้ไม่เท่ากันนะ เพราะเรตค่าจ้างถูกตีค่าจากยอดผู้ติดตามเป็นหลัก รวมถึงความดัง ความปัง มาประกอบกันด้วย และ “ธอทฟูล มีเดีย” ก็มีคำตอบให้สำหรับเรื่องนี้อีกเช่นกัน ว่าอินฟลูเอนเซอร์แต่ละระดับ จะมีรายได้ประมาณเท่าไร โดยข้อมูลต่อไปนี้ถือเป็นค่าเฉลี่ยที่ใช้กันทั่วโลก
เรตค่าจ้างอินฟลูเอนเซอร์โพสต์ต่อครั้ง บนแพลตฟอร์มอินสตาแกรม
1.ระดับนาโน (ผู้ติดตาม 1-1 หมื่นคน) อยู่ที่ 10 ดอลล่าร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยราว 357 บาท
2.ไมโคร (ผู้ติดตาม 1 หมื่น-1 แสนคน) อยู่ที่ 100 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 3,571 บาท
3. Mid (ผู้ติดตาม 1 แสน-5 แสนคน) อยู่ที่ 500 ดอลล่าร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 17,855 บาท
4. มาโคร (ผู้ติดตาม 5 แสน-1 ล้านคน) อยู่ที่ 5,000 ดอลล่าร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 178,550 บาท
5.เมกกะ (ผู้ติดตาม 1 ล้านคนขึ้นไป) อยู่ที่ 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐเป็นอย่างน้อย คิดเป็นเงินไทย 357,100 บาท
ตัวเลขดังกล่าว หากเป็นในประเทศไทย กลุ่มที่จะได้ค่าจ้างเป็นกอบเป็นกำ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นดารา นักแสดง ที่มียอดผู้ติดตามเป็นหลักแสนหลักล้านขึ้นไป หรือเฉลี่ยโพสต์1 ครั้ง รับค่าจ้างไม่ต่ำกว่า 1.5 -3.5 แสนบาท
แต่หากมองในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ที่มาจากคนธรรมดาและกลายมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลจริงๆในวันนี้ ทาง “ธอทฟูล มีเดีย” ยกให้ “พิมรี่พาย” เป็นอันดับ1 โดยเชื่อว่า พิมรี่พายโพสต์ 1 ครั้ง รับเงินไม่ต่ำกว่า 5 แสน -1 ล้านบาท เรตราคานี้อยู่ในระดับเดียวกับซุป’ตาร์เมืองไทยได้เลย ส่วนตัวท็อปๆ ยังมีอีกหลายคน เช่น บี้ เดอะสการ์ และในวงการเกมเมอร์ เป็นต้น
มาถึงตรงนี้ คงจะพอเป็นแนวทางให้บวกลบคูณหารออกมาได้ว่า ทำไมอินฟลูเอนเซอร์จึงมีรายได้เข้ามามากมาย และเป็นเศรษฐีกันได้เร็วนัก ยิ่งเป็นอินฟลูเอนเซอร์ระดับโกลบอล หรือเป็นศิลปินเคป็อปที่ดังระดับโลก อย่างเช่น “ลิซ่า แบล็กพิงค์” ด้วยแล้ว เรตราคาการจ้างโพสต์ลงอินสตาแกรมต่อครั้งจึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป
ทั้งนี้ทางเว็บไซต์ seoulspace เคยระบุไว้ว่า เรตราคาการจ้างโพสต์บนอินสตาแกรมของลิซ่า พุ่งสูงถึง 200,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือกว่า 7 ล้านบาทต่อครั้ง จากที่มีผู้ติดตามราว 70 ล้านคน แต่ปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดตามเพิ่มขึ้นเป็น 81.1 ล้านคนไปแล้ว (ตัวเลขล่าสุดเดือนส.ค. 65) เรตค่าจ้างโพสต์ก็น่าจะปรับขึ้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้นหากจะกล่าวว่า “โลกนี้กำลังหมุนด้วยอินฟลูเอนเซอร์” ก็คงไม่ผิดนัก เพราะแค่ “ลิซ่า แบล็กพิงค์” เพียงคนเดียว ยังแสดงให้เห็นถึงความทรงอิทธิพลของลิซ่าที่ส่งผลต่อสิ่งต่างๆรอบตัวได้เป็นอย่างดี ทรงอิทธิพลจนกลายเป็นกระแส จากกระแสนำมาซึ่งรายได้ รายได้ที่มาจากการขายสินค้า และใช้เวลาเพียงไม่นานก็ Sold Out หรือขาดตลาดได้ในชั่วข้ามคืน
สิ่งที่แบรนด์และสินค้าได้จากอินฟลูเอนเซอร์กับค่าจ้างที่จ่ายไป จึงนับว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เมื่อเทียบกับการซื้อสื่อโฆษณาแบบเดิมๆ ที่อัตราความคุ้มค่าลดน้อยถอยลง
อินฟลูเอนเซอร์ในวันนี้ จึงกลายเป็นผู้คุมเกมของโลกโฆษณาไว้ในกำมือ และพร้อมที่จะทุบสื่อโฆษณาหลักให้กลายเป็นตัวสำรองในอนาคตที่ไม่ไกลจากนี้นัก.