xs
xsm
sm
md
lg

“แอร์บัส” ปักธงตลาดเฮลิคอปเตอร์และอวกาศ หนุนผู้ประกอบการไทยร่วมซัปพลายเชน เตรียมปล่อย "ธีออส-2" ไม่เกินต้นปี 66

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“แอร์บัส” ปักธงประเทศไทยหนุนพัฒนาอุตฯ การบิน "เฮลิคอปเตอร์และอวกาศ" ชี้ธุรกิจด้านการทหารและพลเรือนมีศักยภาพที่สูง และเป็นตลาดสำคัญ พร้อมหนุนผู้ประกอบการไทยร่วมเป็นซัปพลายเชน คาดปลายปี 65-ต้นปี 66 พร้อมปล่อยดาวเทียม "ธีออส-2"

วันที่ 26 ส.ค. 2565 นายปิแอร์ อองเดรย์ ประธานกรรมการแอร์บัสประจำประเทศไทย เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวในกรุงเทพฯ ก่อนงานแสดงยุทโธปกรณ์เทคโนโลยีด้านการทหารและความปลอดภัยระดับเอเชีย (Defence & Security exhibition) ว่า ประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญของแอร์บัสที่มีการขยายตัวเติบโตขึ้นจนกลายเป็นซัปพลายเออร์หลักของเครื่องบินพาณิชย์ เครื่องบินป้องกันทางอากาศและอวกาศ และเฮลิคอปเตอร์ของแอร์บัส

โดยความสำเร็จของแอร์บัสด้านเครื่องบินเชิงพาณิชย์ที่มีใช้ในทุกภาคส่วนของประเทศ ปัจจุบันมีเครื่องบินแอร์บัสให้บริการจำนวน 62 ลำ ปฏิบัติการบินโดยสายการบินหลักทั้ง บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ไทยสมายล์ ซึ่งครอบคลุมเกือบจะทุกรุ่นในสายการผลิต ได้แก่ เครื่องบินตระกูล เอ320 (A320) ตระกูล เอ330 (A330) เอ350 (A350) และเอ380 (A380)

ในส่วนของเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินทางทหาร แอร์บัสให้บริการในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ปัจจุบันมีอากาศยานปีกหมุนในไทยจำนวน 70 ลำ โดยมีให้บริการแก่ผู้ประกอบการ 12 รายในไทย และมีอากาศยานปีกตรึง (Fixed-wing aircraft) ที่ใช้ทางทหาร 20 ลำ โดยอากาศยานเหล่านี้ถูกนำไปปฏิบัติการในภารกิจที่หลากหลาย เช่น การค้นหาและกู้ภัย บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การลำเลียงกำลังพล สาธารณประโยชน์ และการท่องเที่ยว โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแอร์บัสซัปพลายเฮลิคอปเตอร์ 40% เพื่อการทหาร และเครื่องบินกึ่งพลเรือนและการบินเพื่อธุรกิจในประเทศไทย 100%

“ประเทศไทยใช้เฮลิคอปเตอร์ของแอร์บัสเกือบทุกสายผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เฮลิคอปเตอร์ขนส่งลำเลียงอเนกประสงค์รุ่น เอช 145 เอ็ม (H145M) ของกองทัพเรือไทย เฮลิคอปเตอร์อเนกประสงค์รุ่นใหม่ล่าสุด เอช 225 เอ็ม (H225M) และเอช 135 (H135) เฮลิคอปเตอร์สำหรับฝึกซ้อมทางทหารรุ่นใหม่ของกองทัพอากาศไทย ในขณะเดียวกัน เครื่องบินลำเลียงทางยุทธวิธีรุ่น ซี 295 (C295) ก็มีบทบาทสำคัญต่อกองทัพบก โดยมีภารกิจตั้งแต่ลำเลียงกำลังพลและสิ่งของไป การอพยพทางการแพทย์ และการเคลื่อนกำลังทหารพลร่ม”

ทั้งนี้ การที่รัฐบาลไทยได้มีการยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางตั้งแต่ 1 ก.ค. 2565 เชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและการเดินทางทางอากาศสู่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแอร์บัสพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างใกล้ชิดกับลูกค้า และอุตสาหกรรมการบินอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ฟื้นตัว


นอกเหนือจากเรื่องของเครื่องบิน แอร์บัสยังให้การสนับสนุนความพยายามด้านอวกาศของไทยเป็นมาโดยตลอด โดยหลังจากที่ดาวเทียมสำรวจโลกธีออส-1 (THEOS-1) ของประเทศไทยขึ้นสู่อวกาศในปี 2551 แอร์บัสภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้สร้างระบบข้อมูลทางภูมิศาสตร์ธีออส-2 (THEOS-2) โดยดาวเทียมดวงนี้มีกำหนดการปล่อยในช่วงปลายปี 2565 หรือช่วงต้นปี 2566

ในเดือนมิถุนายน 2565 แอร์บัสและสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงความร่วมมือที่เกี่ยวข้องกับภารกิจด้านอวกาศของประเทศไทยในอนาคต โดยความร่วมมือนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเตรียมดำเนินการนำดาวเทียมของไทยและบริการในอนาคตมาใช้ เพื่อขยายขีดความสามารถของระบบอวกาศของไทย เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของประเทศและมีส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและความเป็นอยู่ในสังคมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“โดยความร่วมมือระหว่างแอร์บัสกับ GISTDA มี 3 ด้านหลักๆ คือ 1. ด้านซัปพลายเชน การร่วมมือกับหน่วยงานและผู้ประกอบการต่างๆ ในประเทศให้เกิดศักยภาพในการพัฒนาดาวเทียมขึ้นในประเทศไทย 2. การบริหารจัดการดาวเทียมและการควบคุมต่างๆ 3. การประยุกต์ใช้ข้อมูลที่ได้จากดาวเทียมไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งด้านการเกษตร การแพทย์ การประเมินด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และจะเกิดประโยชน์แก่ประเทศไทย


นายอองเดรย์ย้ำถึงความสำคัญของการเป็นพันธมิตรอันยาวนานระหว่างแอร์บัสกับประเทศไทย นอกจากสำนักงานในประเทศแล้ว แอร์บัสยังได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการการบินของแอร์บัสในกรุงเทพฯ ตลอดจนศูนย์บริการลูกค้าเฮลิคอปเตอร์ที่ให้การบำรุงรักษาและพัฒนาฝูงบิน (MRO) ของพลเรือนและทหาร และให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคกับลูกค้าในประเทศเพื่อนบ้านของไทย ได้แก่ ประเทศลาว และกัมพูชา แอร์บัสถือเป็นผู้ผลิตเฮลิคอปเตอร์รายเดียวที่มีศูนย์ซ่อมบำรุงในประเทศไทยในปัจจุบัน

โดยแอร์บัสมีข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัทอุตสาหกรรมการบินไทย (TAI) ให้การสนับสนุนฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ทั้งหมดของของรัฐบาลไทย โดย TAI เป็นผู้รับเหมาหลักและเป็นศูนย์ให้บริการดูแลการขายและการจัดจำหน่ายฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ของแอร์บัสทุกลำที่ปฏิบัติการโดยกองทัพและหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทย

ด้านการผลิต แอร์บัสได้ทำสัญญาหลายฉบับร่วมกับไทรอัมพ์ เอวิเอชั่น เซอร์วิสเซส เอเชีย (Triumph Aviation Services Asia) โดยครอบคลุมในเรื่องการซ่อมแซม ยกเครื่อง และดัดแปลงโครงสร้างเฟรมของเครื่องบิน เอ 320 เอ 330 และ เอ 340 ที่ดำเนินการโดยสายการบินต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยคาร์บอน เอวิเอชั่น (Qarbon Aviation) ยังได้ผลิตชิ้นส่วนคอมโพสิตสำหรับเครื่องบินรุ่น A320 A330 และ A350

ทั้งนี้ แอร์บัสแสวงหาโอกาสในการพัฒนาและให้ผู้ประกอบการไทยร่วมเป็นซัปพลายเชน ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทไม่น้อยกว่า 12 บริษัทที่ได้อยู่ในซัปพลายเชนของแอร์บัสแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการผลิตชิ้นส่วนโครงสร้าง ชิ้นส่วนประกอบต่างๆ ในการซ่อมบำรุงเครื่องบิน ซึ่งการเข้ามาร่วมเป็นซัปพลายเชนของแอร์บัส คือ ความปลอดภัย ความเชื่อถือได้ ความคุ้มค่าของราคา ซึ่งในปี 2565 แอร์บัสมีการพบปะกับซัปพลายเออร์ของไทยแล้ว 2 ครั้ง มีการหารือแนวทางการทำให้ธุรกิจเติบโตก้าวหน้า


นายอองเดรย์กล่าวว่า แอร์บัสเชื่อว่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมการบินในอนาคต มีการเติบโตสูงสุดในโลก คาดการณ์ปริมาณเที่ยวบินและการเดินทางสูงถึง 53% ซึ่งแอร์บัสคาดการณ์ระยะ 20 ปีข้างหน้า ข้อมูลภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีความต้องการเครื่องบินเชิงพาณิชย์กว่า 17,000 ลำ หรือมีส่วนแบ่ง 45% ของตลาดอากาศยานทั่วโลก และเชื่อว่าการเดินทางทางอากาศจะฟื้นตัวกลับมาและประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศ

“ประเทศไทยเป็นพันธมิตรหลักของแอร์บัส และเรายังคงมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ในไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อสนับสนุนภาคส่วนการบินและอวกาศที่กำลังเติบโต ซึ่งแอร์บัสจะมุ่งมั่นการพัฒนาปรับตัวให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด ให้ลูกค้าได้ประโยชน์สูงสุด ด้วยอากาศยานที่พร้อมใช้ และการให้บริการซ่อมบำรุงที่เกิดความคุ้มค่าในการใช้งานอากาศยาน” นายอองเดรย์กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น