xs
xsm
sm
md
lg

3 สมาคมท่องเที่ยว จัดสัมมนาบูมท่องเที่ยว รับเส้นทางสายไหม “One Belt One Road”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ทีเส็บร่วมกับ 3 สมาคมท่องเที่ยว จัดสัมมนาอัพเดท เส้นทางสายไหมใหม่ของจีน ภายใต้ชื่อ “One Belt One Road” เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับนักเดินทางระหว่างประเทศในภูมิภาค CLMV - จีน มาไทย

จากการเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงอย่างเป็นทางการ กับการพัฒนาเส้นทางสายไหมใหม่ของจีนภายใต้ซื่อ One Belt One Road หรือ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีนนั้น ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวกันในวงกว้างถึงการเตรียมการรองรับนักเดินทางระหว่างประเทศในภูมิภาค CLMV - จีน

เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับนักเดินทางบนเส้นทางดังกล่าว ล่าสุดสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ร่วมกับ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) ได้จัดงาน ONE BELT ONE ROAD MICE & TRAVEL MART และ กิจกรรม R3A - EEC MICE Business Roadshow ขึ้น


โดยนายชัยพฤกษ์ ทองคำ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน) กล่าวถึง วัตถุประสงค์การจัดงานในครั้งนี้ว่า สืบเนื่องจากการพัฒนาเส้นทางสายไหมใหม่ของจีนภายใต้ซื่อ One Belt One Road หรือ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ส่งผลให้ภูมิภาคอาเซียนมีความใกล้ชิดกับจีนมากยิ่งขึ้น รวมถึงไทย จีนจึงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะการเดินทางมาท่องเที่ยวและทำกิจกรรมไมช์บนพื้นที่เชื่อมโยง โดยมีประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทาง เนื่องจากนักเดินทางจีน มีความชื่นชอบการเดินทางมายังประเทศไทยในระยะหลังนี้เป็นอย่างมาก เส้นทางสายไหมใหม่นี้จึงเป็นเส้นทางสำคัญเส้นทางหนึ่งของการเดินทางมาประเทศไทยของนักเดินทางจีนในอนาคต หลังจากจีนเปิดประเทศ

“การพัฒนาเส้นทางสายไหมใหม่ของจีนภายใต้ซื่อ One Belt One Road ทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยตื่นตัว การจัดงานครั้งนี้จะช่วยเสริมความรู้ อัพเดทข้อมูล และความคืบหน้าของเส้นทางดังกล่าว อันจะช่วยให้ผู้ประกอบการนำไปเป็นข้อมูลทำบิซิเนสแพลน และเป็นประโยชน์ต่อยอดธุรกิจต่อไปได้”


ด้านดร. บุญทรัพย์ พานิชการ อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ให้ข้อมูลทางด้าน Logistic เส้นทาง One Belt One Road เชื่อมโยงการท่องเที่ยวและไมซ์ ไว้ว่า การเปิดให้บริการเส้นทางรถไฟระหว่างจีน- ลาว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ช่วยให้เกิดการเชื่อมต่อ Rail- Routes แถวภาคอีสาน จะทำให้ภาพคมนาคมและท่องเที่ยวของไทยเปลี่ยนไป ยกตัวอย่าง เช่น รถไฟจีน- ลาว กับพื้นที่ติดรถไฟ จะหันมาใช้เส้นทางนี้เพิ่นขึ้น 50% และกลุ่มที่อยู่นอกเส้นทางนี้ ก็จะเลือกใช้เส้นทางนี้เพิ่มขึ้น 20-25% เป็นต้น ดังนั้นเมื่อเกิดเส้นทางสายไหมขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถข้ามไปถึงจีนได้ถึง 3 เส้นทาง คือ 1. กทม. - ตาก - เชียงของ, 2. กทม-พิษณุโลก-เชียงของ และ3. กทม. - นครราชสีมา - หนองคายซึ่งจะก่อเกิดการสร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ดังนั้นสิ่งสำคัญ ที่ไทยต้องทำในเวลานี้ คือ เราเองก็ต้องพัฒนาทักษะต่างๆให้พร้อม ทั้งเรื่องภาษา, ระบบไอที, วัน สต็อป เซอร์วิส และซัพพลาย เชน เป็นต้น


ด้านนายเชาว์ชัย เจียมวิจิตร กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการการค้าชายแดน และข้ามแดนด้านจีนตอนใต้ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อถึง การเสวนาหัวข้อ "มุมมองผู้บริหารกับโอกาสบนเส้นทาง One Belt One Road" ว่า ตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ท่องเที่ยวไทยเสียเปรียบหลายด้วย แต่การเปิดเส้นทาง One Belt One Road จะเป็นการเปิดโอกาสภาคการท่องเที่ยวของไทย รวมไปถึงภาคการค้าขายและขนส่งชายแดน ประเทศจึงควรใช้โอกาสนีเสร้างอิมแพ็คให้มาหที่สุด

“ท่องเที่ยวไทยไม่เป็นสองรองใคร รวมถึงภาคเกษตรกรรมก็ไม่น้อยหน้าใครและควรเพิ่มมูลค่าให้มากยิ่งขึ้น โควิดอาจทำให้ท่องเที่ยวบ้านเราเสียเปรียบไปบ้าง แต่การท่องเที่ยวก็เป็นวิชั่นหลักที่จะเชื่อมโยงกับเส้นทาง One Belt One Road ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นประเทศไทยต้องเร่งและวิ่งให้ทันคู่แข่ง ต้องวางแผนรับมืออย่างทันท่วงที เช่น โอกาสการลงทุนชายแดนกับ R3A ที่จะต้องสร้างศูนย์กระจายสินค้า รวมไปถึงภาครัฐต้องอำนวยความสะดวกด้านศุลกากร และตรวจคนเข้าเมืองให้ง่ายและเป็นมิตร เพื่อดึงดูนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวในไทยมากขึ้น เป็นต้น” นายเชาว์ชัย กล่าว.
กำลังโหลดความคิดเห็น