xs
xsm
sm
md
lg

OR โชว์กำไรไตรมาส 2 ที่ 6,568 ล้าน โตขึ้น 103%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก” เผยผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2565 มีกำไรสุทธิ 6,568 ล้านบาท โตขึ้น 103.65% จากช่วงเดียวกันปีก่อนจากปริมาณการขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ พร้อมเดินหน้าในทิศทางใหม่ของการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Inclusive Growth) ในทุกมิติ 

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2565 ว่า บริษัทมีรายได้ขายและบริการ 211,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 118,708 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,568 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.65% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,225 ล้านบาท จากปริมาณการขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากมาตรการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เริ่มผ่อนคลาย

"ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 นี้ดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ เช่นเดียวกันกับด้านปริมาณขายก็ปรับเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ อันเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้ของกลุ่มธุรกิจ Mobility และกลุ่มธุรกิจ Global เพิ่มจากปริมาณการขายน้ำมันอากาศยานและน้ำมันเตาในตลาดพาณิชย์เป็นหลัก รวมทั้งผลจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลกและอุปทานที่ยังตึงตัวจากสถานการณ์คว่ำบาตรรัสเซีย เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ก็มีรายได้ขายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ทั้งในส่วนของกลุ่มค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มค้าปลีกอื่นๆ ตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและช่วงวันหยุดยาวตามเทศกาล"

ส่วนงวด 6 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 10,412.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,228.14 ล้านบาท เนื่องจากทั้งรายได้ขายและบริการ และ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น 151,554 ล้านบาท และ 4,840 ล้านบาท ตามลําดับ เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่ภาครัฐใช้มาตรการผ่อนคลายมากกว่า ทําให้ภาพรวมผลการดําเนินงานดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ เช่นเดียวกันกับด้านปริมาณขายก็ปรับเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ในงวดครึ่งปีแรกของปี 2565 มีค่าใช้จ่ายดําเนินงานสุทธิปรับเพิ่มขึ้น 13.2% โดยส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามยอดขายที่เพิ่ม สอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น


ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 3/2565 มีแนวโน้มค่าเฉลี่ยปรับตัวลดลงกว่าไตรมาส 2/2565 เนื่องจากความกังวลต่อเศรษฐกิจที่อาจเกิดการชะลอตัว และจากสถานการณ์เงินเฟ้อในหลายประเทศ ทําให้ธนาคารกลางในแต่ละประเทศรวมถึงธนาคารกลางสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น รวมทั้งนโยบายปราศจากผู้ติดเชื้อ (Zero-COVID) ของประเทศจีน อาจส่งผลลบต่ออุปสงค์น้ำมัน นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาและแคนาดามีแนวโน้มเพิ่มกําลังการผลิตน้ำมันดิบมากขึ้น และกลุ่ม OPEC+ ที่มีแผนการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มเติมในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2565 จาก 0.43 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มเป็น 0.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปี 2565 จะอยู่ที่ 102 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ส่วนน้ำมันสําเร็จรูปในช่วงไตรมาส 3 /2565 มีแนวโน้มปรับลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบ น้ำมันเบนซินคาดว่าอุปสงค์ได้รับผลกระทบจากความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอย กับราคาขายปลีกที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับ IEA ประเมินว่าอุปสงค์น้ำมันเบนซินในช่วงฤดูกาลขับรถ (Driving season) ของปีนี้อาจต่ำกว่าที่คาดการณ์ และปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังที่ประเทศสิงคโปร์เริ่มปรับเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลมีแนวโน้มลดลงเช่นกัน


ทั้งนี้ OR ได้ทบทวนแผนการลงทุนในปี 2565 จากจํานวน 26,949 ล้านบาท เพิ่มเป็น 40,494 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการปรับแผนการร่วมทุนในกลุ่มธุรกิจ Lifestyle และ Global ที่มีการพิจารณาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจาประมาณ 2-3 โครงการ อีกทั้งมีการลงทุนใหม่ที่สําเร็จแล้ว เช่น การลงทุนในบริษัทเค-เน็กซ์คอร์ปอเรชั่น จํากัด (KNEX) ผู้ประกอบกิจการร้านสะดวกซักภายใต้แบรนด์ Otteriwash&dry และการลงทุนใน Loka Holdings (Traveloka) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มให้บริการด้านการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ เพื่อเป็นการมองหาโอกาส ในการเข้าสู่ธุรกิจท่องเที่ยว เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบัน

สําหรับการลงทุนส่วนที่เหลือยังคงเป็นไปตามแผนงานเดิม เพียงแต่ปรับให้สอดคล้องตามสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งยังคงมุ่งเน้นการรักษาความเป็นผู้นําในประเทศไทยในการดําเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน (Oil Ecosystem) และมุ่งสู่พลังงานสะอาด การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการลงทุนขยายเครือข่ายสถานี EV Station PluZ การติดตั้ง Solar Rooftop เป็นต้น รวมทั้งให้ความสําคัญต่อการให้บริการผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ

สำหรับในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา OR ได้เข้าลงทุนและร่วมลงทุนในหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าลงทุนในบริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (“KNEX”) ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแบบอุตสาหกรรม รวมถึงประกอบกิจการร้านสะดวกซัก ภายใต้แบรนด์ Otteri Wash & dry รวมทั้งได้เข้าลงทุนใน บริษัท โพลาร์ แบร์ มิชชั่น จำกัด (“freshket”) ซึ่งนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการระบบห่วงโซ่อุปทานด้านอาหาร (Food Supply Chain Service) อีกทั้งยังได้ร่วมกับบริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด (บุญรอดฯ) จัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมดื่ม เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และช่องทางการจำหน่าย ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งสร้างโอกาสในการเติบโตร่วมกันกับพันธมิตรในแบบ inclusive growth ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการดำเนินธุรกิจของ OR ที่มุ่งเน้นเติบโตในแบบ Outside-In โดยแสวงหาโอกาสการลงทุนในตลาดใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตร


กำลังโหลดความคิดเห็น