xs
xsm
sm
md
lg

BCP ปลื้มกำไร 6 เดือนแรกปีนี้แตะ 9.6 พันล้าน โตขึ้น 138%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บางจากฯ โกยกำไรครึ่งปีแรกของปีนี้อยู่ที่ 9,633 ล้านบาท โตขึ้น 138% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีรายได้รวม 152,852 ล้านบาท โตขึ้น 80% มาจากธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน และธุรกิจ E&P ที่นอร์เวย์ จ่อออกหุ้นกู้ไตรมาส 3 นี้เพื่อรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและราคาน้ำมันที่ผันผวน

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ของกลุ่มบางจากฯ ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 9,633 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 138 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 4,048 ล้านบาท

โดยบางจากมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 152,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 26,286 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 192 โดยผลดำเนินงานที่ปรับเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนวิธีบันทึกเงินลงทุนใน OKEA เป็นบริษัทย่อยตั้งแต่ไตรมาส 3/2564 เป็นต้นมา และส่วนที่เหลือปรับเพิ่มขึ้นจากกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันที่ได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในครึ่งแรกของปี 2565 อยู่ที่ 102.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 2564 จำนวน 38.55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือร้อยละ 61 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ มี Inventory Gain 8,451 ล้านบาท


ผลการดำเนินงานที่ปรับเพิ่มขึ้นที่ได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัวจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเดินทางกลับคืนมา ขณะที่อุปทานน้ำมันยังตึงตัวจากสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ และกลุ่มโอเปกพลัสไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากการที่ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบอ้างอิง (Crack Spread) ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากตามกลไกราคาตลาดซึ่งเพิ่มขึ้นลดลงตามอุปสงค์และอุปทาน ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันมี EBITDA รวม 11,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 163 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีค่าการกลั่นพื้นฐาน (Operating GRM) ปรับเพิ่มขึ้น และโรงกลั่นบางจากฯ ยังคงอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยที่สูงในระดับ 122.3 พันบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 102 ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น

ด้านธุรกิจการค้าน้ำมัน โดย BCPT ปรับตัวดีขึ้นจากกำไรต่อหน่วยของการซื้อขายผลิตภัณฑ์กลุ่มแก๊สโซลีน / แนฟทาปรับสูงขึ้น พร้อมรับรู้กำไรจากการเข้าทำสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า

กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA รวม 2,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 44 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้รับปัจจัยบวกจากปริมาณการจำหน่ายที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าการตลาดรวมสุทธิต่อหน่วยปรับลดลงเล็กน้อย


กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า มี EBITDA รวม 4,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 112 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีการรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 3 โครงการ อีกทั้งรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท Star Energy Group Holdings Pte. Ltd. (“SEGHPL”) 2,031 ล้านบาท

กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มี EBITDA รวม 437 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 39 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่รายได้จากการขายปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากราคาขายไบโอดีเซล (B100) ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันปาล์มดิบ ในขณะที่กำไรขั้นต้นปรับลดลง โดยหลักมาจากธุรกิจไบโอดีเซลและธุรกิจเอทานอลมีปริมาณการจำหน่ายที่ปรับลดลง อีกทั้งราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตปรับเพิ่มขึ้น


กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาธุรกิจใหม่ มี EBITDA รวม 7,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละกว่า 1,000 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้รับปัจจัยบวกจากราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 192 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หากพิจารณาเฉพาะผลการดำเนินงานของ OKEA ในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา พบว่า EBITDA ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 288 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาน้ำมันดิบและก๊าซปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งปริมาณจำหน่ายปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ OKEA ยังได้ลงนามในสัญญาซื้อแหล่งปิโตรเลียมในทะเลเหนือ 3 แหล่ง จากบริษัท Wintershall Dea Norge AS ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสสุดท้าย และช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมในปี 2565 ของ OKEA อีกประมาณ 5,000-6,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2565 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการ 83,796 ล้านบาท EBITDA 12,572 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 5,276 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.79 บาท โดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันได้รับปัจจัยบวกจาก Operating GRM ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวช่วยบรรเทาผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติฯ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาขายก๊าซธรรมชาติไปจำหน่ายในประเทศอังกฤษปรับลดลงอย่างมาก รวมทั้งการอ่อนค่าของสกุลเงินโครนนอร์เวย์ (NOK) เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ


นายชัยวัฒน์กล่าวว่า สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2565 คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะปรับลดลง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันได้รับแรงกดดันความกังวลเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะถดถอย จากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างเร็วและธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดกั้นภาวะเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ คาดว่าราคาน้ำมันยังคงได้รับแรงหนุนจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ โดยบริษัทฯ ยังคงติดตามและประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนธุรกิจให้เหมาะสม บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจและแผนการลงทุน โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะออกและเสนอขายหุ้นกู้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ เพื่อเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและราคาน้ำมันที่ผันผวน พร้อมทั้งเร่งการลงทุนเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่อขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ


กำลังโหลดความคิดเห็น