PTTGC เผยกำไรไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 1,388 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 94% สาเหตุหลักขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 12,734 ล้านบาท และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 4,378 ล้านบาท
นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2/2565 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 196,397 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากไตรมาส 1/2565 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 76 จากไตรมาส 2/2564 และมีกำไรสุทธิรวม 1,388 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 67 จากไตรมาส 1/2565 และลดลงร้อยละ 94 จากไตรมาส 2/2564
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/2565 บริษัทมีรายได้จากการขายรวมปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามราคาน้ำมันดิบ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสนี้ภายหลังจากที่หลายประเทศทั่วโลกผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 รวมถึงอุปทานที่ตึงตัวจากการที่หลายประเทศคว่ำบาตรการใช้น้ำมันและพลังงานจากประเทศรัสเซีย เช่นเดียวกับราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางราคาวัตถุดิบ และมีปัจจัยสนับสนุนด้านอุปทานที่ตึงตัวจากการหยุดซ่อมบำรุงและการปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตบางรายในภูมิภาคเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงทำให้ไม่คุ้มค่าในการผลิต
อย่างไรก็ตาม ปริมาณขายรวมของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับลดลงในไตรมาสนี้เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 3 โรงอะโรเมติกส์หน่วยที่ 1 รวมถึงโรง LDPE และ LLDPE ทำให้ในไตรมาสนี้บริษัทฯ มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 21,029 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาส 1/2565 และไตรมาส 2/2564 ร้อยละ 47 และร้อยละ 29 ตามลำดับ โดยบริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมผลกาไรจากสต๊อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากรายการมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน ประกันความเสี่ยงรายการพิเศษอื่นๆ) อยู่ที่ 13,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2565 และไตรมาส 2/2564 ร้อยละ 120 และร้อยละ 31 ตามลำดับ
แต่เมื่อพิจารณารวมถึงผลจากการที่บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) เป็นกำไรรวม 3,085ล้าน บาท ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 12,734 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าราคาที่ทำประกันความเสี่ยงไว้ โดยเป็นการรับรู้ที่เกิดขึ้นแล้ว (realized) 11,598 ล้านบาท และที่ยังไม่เกิดขึ้น (unrealized) 1,136 ล้านบาท ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน 4,378 ล้านบาท กำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน 1,712 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 2/2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 1,388 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 67 จากไตรมาส 1/2565
ในไตรมาสนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีผลประกอบการอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยถึงแม้ราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE) เฉลี่ยในไตรมาสนี้ปรับตัวสูงขึ้น แต่บริษัทฯ มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 3 ซึ่งใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบหลัก ส่งผลให้มีปริมาณขายปรับตัวลดลงและมีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบแนฟทาเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 28
นอกจากนี้ยังมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรง LDPE และ LLDPE ทำให้ปริมาณขาย PE ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมี Adjusted EBITDA Margin ในไตรมาส 2 นี้อยู่ที่ร้อยละ 9 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ผลประกอบการในกลุ่มธุรกิจ Performance Materials and Chemicals ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีสาเหตุจากการอ่อนตัวลงของธุรกิจฟีนอลเป็นหลัก เนื่องจากราคาวัตถุดิบเบนซีนปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ allnex ยังคงรักษาระดับได้ต่อเนื่องในไตรมาสนี้
กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์มีผลประกอบการดีขึ้นในไตรมาสนี้ โดยมีส่วนต่างผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ (BTX P2F) อยู่ที่ 117 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2565 แต่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์หลักทั้งพาราไซลีนและเบนซีนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสนี้ รวมถึงส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พลอยได้ (by products) โดยเฉพาะคอนเดนเสทเรซิดิวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ธุรกิจโรงกลั่นมีผลประกอบการที่ดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2/2565 โดยมีค่าการกลั่น
(GRM) อยู่ที่ 21.09 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าและไตรมาส 2/2564 เนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์หลักปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากตามอุปสงค์ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศรวมถึงการส่งออกที่ลดลงของประเทศจีน ทั้งนี้ บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่บริษัทฯ รับรู้จำนวน 1,833 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2565 โดยมีสาเหตจากการรับรู้กำไรที่เพิ่มขึ้นภายหลังจากที่บริษัทฯ เพิ่มสัดส่วนในการถือหุ้นในบริษัท วีนิ ไทย จำกัด (มหาชน) จากร้อยละ 24.98 เป็นร้อยละ 37.82 และผลประกอบการที่ดีขึ้นจากธุรกิจไบโอพลาสติกและธุรกิจอะคริโลไนไตรล์
ส่วนผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,600 ล้านบาท ลดลง 84% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 34,730 ล้านบาท