ปตท.สผ.แจงผลดำเนินงาน 6 เดือนแรกปี 2565 มีรายได้รวม 4,543 ล้านดอลลาร์หรือเทียบเท่า 153,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 28 ในช่วงเดียวกันของปี 2564 และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 918 ล้านดอลลาร์ หรือเทียบเท่า 31,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 54 มาจากปัจจัยหลักจากปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 446,519 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือโตขึ้นร้อยละ 8 มาจากโครงการโอมาน แปลง 61 และโครงการจี 1/61 ด้านบอร์ดฯ อนุมัติเงินปันผลระหว่างกาล 4.25 บาทต่อหุ้น
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า หลังจากการที่ ปตท.สผ.ได้เข้าเป็นผู้ดำเนินการในโครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ ปลาทอง สตูล และฟูนาน) เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการติดตั้งแท่นหลุมผลิตไปแล้ว 2 แท่น และจะติดตั้งแท่นที่เหลืออีก 6 แท่นให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 วางท่อใต้ทะเลทั้งหมด 8 เส้น โดยจะเร่งเจาะหลุมผลิตใหม่เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซฯ ให้ได้ตามเงื่อนไขในสัญญาแบ่งปันผลผลิต รองรับความต้องการใช้พลังงานและเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
ส่วนความคืบหน้าของโครงการในต่างประเทศ ปตท.สผ.ได้เริ่มผลิตน้ำมันดิบจากโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ แล้วในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายการผลิตที่อัตรา 13,000 บาร์เรลต่อวัน
ทำให้ผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2565 ปตท.สผ.มีรายได้รวม 4,543 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 153,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับรายได้รวม 3,546 ล้านดอลลาร์ หรือเทียบเท่า 109,658 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยมีปัจจัยหลักจากปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 446,519 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือร้อยละ 8 จาก 413,168 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เป็นผลมาจากการรับรู้ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของโครงการโอมาน แปลง 61 และปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบที่ ปตท.สผ.เข้าเป็นผู้ดำเนินการโครงการจี 1/61 ประกอบกับราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
จากผลประกอบการดังกล่าว ส่งผลให้ ปตท.สผ.มีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกที่ 918 ล้านดอลลาร์ หรือเทียบเท่า 31,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 54 จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ที่มีกำไรสุทธิ 598 ล้านดอลลาร์ เทียบเท่า 18,673 ล้านบาท โดยมีต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) อยู่ที่ 27.72 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ร้อยละ 76
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2565 ปตท.สผ.มีรายได้รวม 2,469 ล้านดอลลาร์ หรือเทียบเท่า 84,955 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 600 ล้านดอลลาร์ เทียบเท่า 20,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 89 เมื่อเทียบกับ 318 ล้านดอลลาร์ หรือเทียบเท่า 10,519 ล้านบาท ของไตรมาส 1 ปีนี้ โดยเป็นผลมาจากปริมาณการขายของโครงการจี 1/61 และราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาดโลก
ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2565 มีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2565 ที่ 4.25 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 16 สิงหาคม 2565 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 สิงหาคม 2565
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ปตท.สผ.ได้นำรายได้ส่งให้แก่รัฐ ซึ่งอยู่ในรูปภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง โบนัสการผลิต และส่วนแบ่งผลประโยชน์ต่างๆ ประมาณ 50,000 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น ด้านการพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น
นายมนตรีกล่าวต่อไปว่า สำหรับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำนั้น ปตท.สผ.ได้ริเริ่มศึกษาและพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยได้ศึกษาและพัฒนาโครงการ CCS ครั้งแรกของประเทศไทยที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย และคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนช่วงปลายปี 2566
ปตท.สผ.ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่มีประสบการณ์จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อศึกษาและพัฒนา CCS ในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย และยังมีความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท.ในโครงการ CCS Hub Model เพื่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอุตสาหกรรมในกลุ่ม ปตท. และอุตสาหกรรมในพื้นที่ใกล้เคียง และล่าสุดได้ร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่ม ปตท.กับภาครัฐและเอกชนรายอื่นๆ เพื่อจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Storage หรือ CCUS) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCUS จากภาคอุตสาหกรรมหลักของประเทศ โดยการดำเนินงานทั้งหมดนี้จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทยให้เกิดเป็นรูปธรรม
“ผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแผนงานที่วางไว้ ในขณะเดียวกัน ปตท.สผ.ยังได้หาโอกาสลงทุนในธุรกิจใหม่ (Beyond E&P) รองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน (Energy Transition) และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต โดยมีความคืบหน้าการดำเนินงานและความร่วมมือในหลายด้าน เช่น CCS และ CCUS รวมทั้งได้เริ่มการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่โครงการเอส 1 กำลังการผลิตประมาณ 10 เมกะวัตต์ เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับใช้ในโครงการเอส 1 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตไฟฟ้าได้ในไตรมาส 1 ปี 2566 นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะมีความคืบหน้าการลงทุนตามแผนงานต่อไป” นายมนตรีกล่าว
ด้านความคืบหน้าตามแผนงานในการดูแลสิ่งแวดล้อม ตามกลยุทธ์ “ทะเลเพื่อชีวิต” (Ocean for Life) เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและนิเวศทางทะเลอย่างยั่งยืนนั้น ปตท.สผ.ได้ร่วมกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดำเนินโครงการปล่อย “ทุ่นกระแสสมุทร” หรือ Ocean Current Mapper เพื่อติดตามกระแสน้ำผ่านระบบดาวเทียมและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวงจรชีวิตของสัตว์น้ำ การเคลื่อนที่ของขยะทะเล รวมถึงไมโครพลาสติก รวมทั้งยังสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบในการเตือนภัยล่วงหน้าทางทะเล และผลกระทบที่เกิดจากโลกร้อน โดยได้ทำการปล่อยทุ่นกระแสสมุทรทุ่นแรกบริเวณโครงการอาทิตย์ในอ่าวไทย นับเป็นการปล่อยทุ่นศึกษาการไหลเวียนของกระแสน้ำในทะเลไกลฝั่งครั้งแรกในประเทศไทย และจะมีการปล่อยอย่างต่อเนื่องทุกเดือนจนถึงกลางปี 2566 เพื่อติดตามสุขภาพของมหาสมุทรและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลอนุรักษ์ท้องทะเล