ผู้จัดการรายวัน 360 - ฟิลิปส์ตอบรับเทรนด์ใหม่ของการดูแลสุขภาพในเอเชีย พร้อมเปิดตัวหลากหลายนวัตกรรมใหม่ในพอร์ตโฟลิโอ Personal Health ในไทย พร้อมลุยการตลาดเต็มที่ ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 20% ในปีนี้
นางสาว Deeptha Khanna, รองประธานกรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูง กลุ่มธุรกิจ Personal Health ฟิลิปส์ เปิดเผยว่า ฟิลิปส์มุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้นด้วยนวัตกรรมอันทรงคุณค่า โดยเชื่อมั่นในการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลที่พัฒนาด้วยการยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง และเทคโนโลยีการดูแลสุขภาพที่สามารถปรับเปลี่ยนเฉพาะบุคคลได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในแบบของตัวเอง และตอกย้ำว่าสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีช่วยจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพให้แก่ผู้คน โดยโซลูชันต่างๆ จากฟิลิปส์จะช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคในเอเชียรู้จักป้องกันและสร้างสุขภาพที่ดีตั้งแต่ที่บ้าน เพื่อดูแลสุขภาพให้ดีในระยะยาว
ล่าสุดฟิลิปส์ได้ก้าวไปอีกขั้นกับการนำเสนอโซลูชันการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล เพื่อการดูแลสุขภาพโดยรวมให้ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภคกับสมาร์ทเทคโนโลยีได้แก่ SenseIQ และ Skin IQ ที่ผสานพลังของ AI เข้ากับองค์ความรู้ทางการแพทย์เพื่อแปลข้อมูลที่มีให้เป็นเทคโนโลยีเฉพาะบุคคลและปรับเปลี่ยนได้ เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนและแนะนำการใช้งานให้แก่ผู้บริโภค เพื่อช่วยเปลี่ยนเป้าหมายด้านสุขภาพส่วนบุคคลให้เป็นจริงผ่านผลิตภัณฑ์แปรงสีฟันไฟฟ้า ไดร์เป่าผมและเครื่องโกนหนวดไฟฟ้า ซึ่งฟิลิปส์ตระหนักดีว่าผู้ใช้งานแต่ละคนมีความต้องการและเป้าหมายที่แตกต่างกัน จึงส่งเสริมนวัตกรรมที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ พบว่าเทรนด์การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันในไทยเพิ่มสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย จากผลสำรวจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของกลุ่มตัวอย่างในประเทศไทย พบว่ากว่า 95% เห็นว่าการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมีความสำคัญ โดยเปรียบเทียบก่อนและหลังการเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 คนไทยให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดย 62% ของกลุ่มตัวอย่างหาข้อมูลการดูแลสุขภาพมากกว่าก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะที่ 51% ให้ความสำคัญต่อสุขภาพมากกว่างานเพิ่มขึ้น และยังเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียที่ 45% และ 40% ตามลำดับ ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างในไทยเลือกใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีดูแลสุขภาพส่วนบุคคลเพื่อตรวจวัดสุขภาพทั่วไปมากขึ้นกว่า 43% และมากกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชียที่ 30%
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เทรนด์การดูแลสุขภาพของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลจึงเพิ่มขึ้นเช่นกัน ประกอบกับเทคโนโลยีเฉพาะบุคคลของนวัตกรรม ฟิลิปส์ ตัวเลือกผลิตภัณฑ์อันหลากหลาย ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุม และกิจกรรมการตลาดที่สื่อสารไปยังกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด ทำให้ธุรกิจ Personal Health ในประเทศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
ด้านนายวิโรจน์ วิทยาเวโรจน์ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาตลาดของผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพส่วนบุคคลในประเทศไทยมียอดขายรวมทั้งตลาดอยู่ที่ประมาณ 2.5 ล้านชิ้น เติบโต 3% และถ้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเติบโตเป็นพิเศษ จะเป็นกลุ่มสินค้าดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ซึ่งมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5% แสดงให้เห็นว่าเทรนด์ในตลาดของสินค้ากลุ่มนี้ยังคงเติบโต และผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจในการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลมากขึ้น
ทั้งนี้ ฟิลิปส์ได้นำเสนอนวัตกรรมที่มาพร้อมเทคโนโลยีเฉพาะบุคคล อาทิ เครื่องโกนหนวดไฟฟ้า Philips Shaver Series 9000 ที่มาพร้อมเทคโนโลยี SkinIQ ที่จะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงกดและความหนาแน่นของหนวดบนใบหน้า เพื่อปรับแรงกดและแรงโกนให้เหมาะสม ช่วยป้องกันการทำลายผิวขณะโกน นี่คือตัวอย่างนวัตกรรมที่มาช่วยดูแลสุขภาพส่วนบุคคลและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด ทำให้กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับคุณผู้ชายเติบโตถึง 50% ในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและฟันเติบโตถึง 100% ประกอบกับการที่เราทำงานอย่างใกล้ชิดกับคู่ค้าของเรา ในการผลักดันยอดขายทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ ทำให้ธุรกิจ Personal Health ของเรายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของธุรกิจฝั่ง Personal Health ของฟิลิปส์ตอนนี้มี 4 กลุ่ม คือ 1. ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย 2. ผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม 3. ผลิตภัณฑ์ดูแลความสะอาดของช่องปากและฟัน 4. ผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก ซึ่งยอดขายรวมทั้งตลาดของสินค้ากลุ่ม Personal Health อยู่ที่ประมาณ 2.5 ล้านชิ้นในปี 2564 ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 3% โดยกลุ่มสินค้าดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ซึ่งมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5% ในส่วนของฟิลิปส์ พบว่าจากปี 2564 ยอดขายโตประมาณ 20% โดยในครึ่งปีแรกนี้ยอดขายกลุ่ม Personal Health เติบโตไปแล้วที่ 20% และคาดการณ์ว่าในสิ้นปีนี้ยอดขายน่าจะเติบโตในอัตราเดียวกัน