การบินไทยชง "รมต.คมนาคม" อนุมัติขายเครื่องบินแอร์บัส A340 อีก 5 ลำ ลุ้นเจ้าหนี้ประชุม 1 ก.ย.รับแผนฟื้นฟูฉบับแก้ไข "ปิยสวัสดิ์" มั่นใจผลดำเนินการทิศทางดี ผู้โดยสารฟื้นตัวเกือบ 3 หมื่นคน/วัน คาด ก.ค.รายได้แตะ 8 พันล้านบาท
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยว่า ตามแผนฟื้นฟูกิจการบริษัทฯ ซึ่งจะดำเนินการจำหน่ายอากาศยานที่ไม่อยู่ในแผนปฏิบัติการบิน ได้แก่ เครื่องบินที่มีอายุการใช้งานมาก หรือเครื่องบินที่ทำการบินแล้วขาดทุน ล่าสุดบริษัทฯ ได้ทำหนังสือเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อพิจารณาอนุญาตโอนจำหน่ายเครื่องบิน จำนวน 5 ลำ ได้แก่ แอร์บัส A340-500 จำนวน 1 ลำ แบบแอร์บัส A340-600 จำนวน 4 ลำ
ก่อนหน้านี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ลงนามอนุมัติให้การบินไทยโอน (ขาย) เครื่องบินไปแล้วจำนวน 11 ลำ คือ เครื่องบินโบอิ้ง B737-400 จำนวน 1 ลำ เครื่องบินโบอิ้ง B747-400 จำนวน 10 ลำ
ปัจจุบันบริษัทฯ ใช้งานเครื่องบินจำนวน 68 ลำ เป็นเครื่องบินที่มีอายุน้อย มีประสิทธิภาพสูง และต้องบริหารจัดการชั่วโมงการใช้เครื่องบินโดยเฉลี่ย (Aircraft Utilization) ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และมีแผนนำเครื่องบินเก่ามาซ่อมบำรุงและนำกลับมาใช้งานจำนวน 5 ลำ คือ โบอิ้ง 777-200 ER จำนวน 2 ลำ และแอร์บัส A330 จำนวน 3 ลำ
@ลุ้น 1 ก.ย. เจ้าหนี้ประชุมรับแผนฟื้นฟูฉบับแก้ไข
นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า หลังจากเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 คณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ล่าสุดมีกำหนดการประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาแผนฟื้นฟูฉบับแก้ไขในวันที่ 1 กันยายน 2565 หลังจากนั้นศาลจะนัดฟังคำสั่งต่อไป คาดว่าจะเป็นช่วงปลายเดือนกันยายน-ตุลาคม 2565
ทั้งนี้ เชื่อว่าเจ้าหนี้น่าจะพอใจการบริหารจัดการ ซึ่งปัจจุบันการดำเนินงานและผลประกอบการดีขึ้นมากเมื่อเทียบจากช่วงการยื่นแผนฟื้นฟูครั้งแรก ซึ่งรอบนั้นเจ้าหนี้โหวตรับแผนฟื้นฟู 90% ขณะนั้นการบินไทยมีรายได้ประมาณ 700 ล้านบาทต่อเดือน และส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการให้บริการขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้า (คาร์โก้) มีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 500 คนต่อวัน
ปัจจุบันจำนวนผู้โดยสารของการบินไทยเฉลี่ย 16,000 คน ส่วนไทยสมายล์มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่า 12,000 คนต่อวัน เติบโตก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปี 2563-2564 โดยรายได้เมื่อเดือน มิ.ย. 2565 อยู่ที่ประมาณ 7,200 ล้านบาทต่อเดือน และคาดว่าเดือน ก.ค. จะเพิ่มเป็น 8,000 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากคาร์โก้ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท
@ปรับค่าฟิวเฐอร์ชาร์จ บริหารต้นทุนพุ่งจากราคาน้ำมัน
นายปิยสวัสดิ์กล่าวถึงผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนพลังงานของการบินไทยเพิ่มสูงขึ้นว่า ขณะนี้บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการเรื่องราคาได้ดี โดยมีการปรับค่าธรรมเนียมน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่งทางอากาศ (Fuel Surcharge) ไม่สามารถสต๊อกได้
ด้านนายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่อาวุโส รักษาการประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการบัญชี บริษัท การบินไทยกล่าวว่า การบริหารต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น จะมีการปรับค่าธรรมเนียมน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่งทางอากาศ (Fuel Surcharge) โดยปรับขึ้นลงตามความต้องการเดินทางของตลาด ตามจำนวนผู้โดยสาร (ตามดีมานด์-ซัปพลาย) ซึ่งทุกสายการบินบริหารคล้ายๆ กันหมด
@ประเมินขายทรัพย์สินใน/ต่างประเทศ มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท
สำหรับการหาประโยชน์จากทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อจำหน่ายในประเทศมีมูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาท ได้แก่ อาคารสำนักงาน "รักคุณเท่าฟ้า" ที่ดอนเมือง, อาคารสำนักงานที่เชียงใหม่, อาคารพาณิชย์ที่พิษณุโลก เป็นต้น ส่วนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศที่จะขายมีมูลค่าอีกประมาณเกือบ 2,000 ล้านบาท