xs
xsm
sm
md
lg

'กรมราง' เปิดภารกิจ พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ วางกฎเหล็กกำกับดูแล "มาตรฐาน-บริการ-ราคา"-ยัน รฟท.จัดสรรความจุทางเปิดเอกชนร่วมเดินรถ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หลังจากเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2565 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ....ซึ่งเสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวาระที่ 1 ด้วยคะแนนเห็นด้วย 250 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 0 เสียง โดยเห็นว่าจะเป็นการพัฒนาระบบการขนส่งทางรางของประเทศไทยให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพ และเป็นร่างกฎหมายที่จะช่วยคุ้มครองผู้โดยสารและผู้ใช้บริการระบบขนส่งทางราง โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ. .... รวม 25 คน ซึ่งสภาเหลือการพิจารณาอีก 2 วาระ ก่อนจะส่งกลับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย โดยคาดว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ในต้นปี 2566   

ทั้งนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ยังมีความเห็นที่เป็นข้อกังวลและห่วงใย เช่น กรณีการเปิดให้เอกชนเข้ามาร่วมประกอบกิจการขนส่งทางรางนั้น ควรดำเนินการอย่างรอบคอบ ไม่ทำให้เกิดการผูกขาดของเอกชนบางรายได้ หรือมีการกำหนดค่าโดยสารที่ไม่เป็นธรรม ควรรักษาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นอันดับแรก รวมถึงต้องพิจารณาเรื่องการทับซ้อนกับอำนาจของกฎหมายฉบับอื่นๆ ด้วย 

นอกจากนี้ยังมีข้อทักท้วงของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ฯ นี้โดยตรง โดยสหภาพฯ รฟท.ได้ยื่นหนังสือถึง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ตั้งข้อสังเกตในหลายประเด็น เช่น การรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังไม่ครบถ้วนรอบด้าน, มีบทบัญญัติที่ซ้ำซ้อน ขัดแย้งกับบรรดาสิทธิ และอำนาจหน้าที่ของ รฟท.ตาม พ.ร.บ.การจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464 และ พ.ร.บ.การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 รวมถึงซ้ำซ้อน ขัดแย้งกับบรรดาสิทธิ และอำนาจของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ตาม พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 

“หลังจากนี้ผู้เกี่ยวข้องทั้งกรมการขนส่งทางราง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างฯ จะต้องทำความเข้าใจ และพิจารณารายละเอียดต่างๆ ของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ในขั้นตอนการแปรญัตติให้รอบคอบต่อไป” 


@กรมรางฯ เผย "ทำไม!!! ประเทศไทยต้องมี พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ"

“พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์” อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของ พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ ว่า เมื่อ 7 ปีที่แล้วได้มีการประชุมหน่วยงานด้านกำกับดูแลด้านขนส่งทางราง ซึ่งประเทศไทยไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลระบบราง ทั้งที่ไทยมีระบบรางมาเป็นเวลากว่า 100 ปีแล้ว หลายๆ ประเทศจึงสงสัยว่า ไทยทำได้อย่างไร... ซึ่งก็ต้องบอกว่าที่ผ่านมาอยู่กันมาได้ด้วยความเข้าใจ หลังจากนั้นจึงเริ่มแนวคิดมีหน่วยงานควบคุมกำกับดูแลระบบรางให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

วันนี้กรมรางตั้งมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว โดยจัดตั้งขึ้นเมื่อ 15 เม.ย. 2562 มีหน้าที่เป็นหน่วยงานกำกับดูแล หรือ Operator ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2559 ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2562 มีภารกิจคือ

1. เสนอแนะนโยบายยุทธศาสตร์ และแผนการพัฒนาการขนส่งทางราง

2. กำกับดูแลมาตรฐานและระเบียบด้านความปลอดภัย และการบำรุงรักษา โครงสร้างพื้นฐาน ทำร่างการกำกับดูแลประกอบกิจการ

3. กำหนดโครงสร้างอัตราค่าบริการและระดับคุณภาพการให้บริการ

ตามขั้นตอนหลังผ่านการพิจารณาสภาฯ วาระที่ 1 จะมีเวลาให้ ส.ส.เสนอคำแปรญัตติภายใน 15 วัน จากนั้นเป็นการพิจารณา หากมีการเสนอคำแปรญัตติไม่มาก ขั้นตอนการพิจารณากฎหมายนี้จะเร็วขึ้น และคาดว่าจะเสนอกลับไปที่สภาเพื่อพิจารณาวาระ 2 และ 3 ในสมัยประชุมหน้า และเมื่อผ่านขั้นตอนในสภาฯ ครบถ้วนแล้ว จะเป็นขั้นตอนทูลเกล้าฯ ถวาย จึงคาดการณ์ว่ากฎหมายจะมีผลบังคับใช้ช่วงต้นปี 2566

"สำหรับ 1 เสียงที่ไม่เห็นด้วย รวมถึงความเห็นต่างๆ จากหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบ ยืนยันรับฟังทุกความเห็น และทำความเข้าใจ เพื่อลดผลกระทบเหล่านั้นให้น้อยที่สุด ซึ่งในภาพรวม การจัดทำ พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีขึ้น คิดว่าทุกฝ่ายจะเห็นด้วยและลดการคัดค้าน เมื่อเทียบกับการที่ไม่มีการพัฒนาใดๆ ไม่ปรับอะไร จะอยู่กันไปแบบนี้ ผมเชื่อว่าหลังจากนี้ประชาชนได้รับการบริการระบบรางที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี เพราะนี่ คือ...ความตั้งใจของกรมราง ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล"


@เปิด 10 หมวด 165 มาตรา “รวมศูนย์กำกับดูแล” ที่กรมราง

แรกเริ่ม พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ กำหนดไว้ 8 หมวด 52 มาตรา และมีการศึกษา ปรับแก้ไข เพิ่มเป็น 10 หมวด 149 มาตรา จนกระทั่งร่าง พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการในวาระที่ 1 นั้นมี 10 หมวด รวมทั้งสิ้น 165 มาตรา

บททั่วไป (มาตรา 1-4) นิยาม คำจำกัดความ กำหนดวันมีผลบังคับใช้

หมวด 1 คณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางราง (มาตรา 5-13)

ให้มี "คณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางราง" ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีหน้าที่และอำนาจ เช่น กำหนดนโยบายและแผนพัฒนาการขนส่งทางราง เสนอต่อ ครม.ให้ความเห็นชอบ, พิจารณาและให้ความเห็นชอบโครงการของหน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการในการประกอบกิจการขนส่งทางราง และเมื่อคณะกรรมการให้ความเห็นชอบแล้ว ให้เจ้าของโครงการเสนอโครงการดังกล่าวต่อ ครม.เพื่อดำเนินการต่อไป, เสนอแนวทางในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นที่ได้รับประโยชน์จากการประกอบกิจการขนส่งทางรางต่อ ครม.เพื่อให้ความเห็นชอบ, เสนอแนวทางในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากการประกอบกิจการขนส่งทางรางต่อ ครม.เพื่อให้ความเห็นชอบ

เสนอแนวทางในการเชื่อมต่อการขนส่งทางรางกับการขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางน้ำ การขนส่งทางบกอื่น รวมทั้งศูนย์กระจายสินค้า ท่าเรือบก นิคมอุตสาหกรรม และส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องต่อ ครม.เพื่อให้ความเห็นชอบ

กำหนดอัตราขั้นสูงของค่าโดยสาร ค่าขนส่ง ค่าใช้ประโยชน์จากรางและทรัพย์สินที่จำเป็นในการประกอบกิจการขนส่งทางรางและค่าบริการอื่น รวมถึงกำหนดประเภทของบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสาร หรือได้รับการลดหย่อนค่าโดยสาร และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณอัตราขั้นสูงของค่าโดยสาร ค่าขนส่ง ค่าใช้ประโยชน์จากรางและทรัพย์สินที่จำเป็นในการประกอบกิจการขนส่งทางราง และค่าบริการอื่น เป็นต้น

หมวด 2 การจัดทำโครงการการขนส่งทางราง (มาตรา 14-33)

- ส่วนที่ 1 การจัดทำแผนพัฒนาการขนส่งทางราง

(มาตรา 14-19) ให้กรมรางจัดทำแผนพัฒนาการขนส่งทางราง โดยมี 3 ประเภท ได้แก่ แผนพัฒนาระดับประเทศ, แผนพัฒนาในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล, แผนพัฒนาในเขตภูมิภาค โดยมาตรา 16 กำหนดให้กรมรางมีหน้าที่และอำนาจสำรวจพื้นที่เบื้องต้นเพื่อทราบข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสภาพพื้นที่ในการกำหนดแนวเส้นทางที่เหมาะสมและปลอดภัย รวมถึงให้กรมรางจัดทำประกาศเพื่อกำหนดพื้นที่ที่จะสำรวจ เป็นต้น

- ส่วนที่ 2 การเสนอโครงการการขนส่งทางราง (มาตรา 20-25) ในการเสนอโครงการขนส่งทางราง ให้เจ้าของโครงการจัดทำรายงานผลการศึกษาความเหมาะสม และวิเคราะห์โครงการ เสนอต่อคณะกรรมการ/รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ส่วนกรณีมีการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ให้เจ้าของโครงการเสนอโครงการต่อ ครม.เห็นชอบ และให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการร่วมลงทุนฯ

- ส่วนที่ 3 การดำเนินการโครงการการขนส่งทางราง (มาตรา 26-33) กรณีจำเป็นต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือก่อให้เกิดภาระในอสังหาริมทรัพย์ กรณีเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะให้ดำเนินการตามกฎหมายนั้น กรณีเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เสนอกระทรวงมหาดไทยเพื่อดำเนินการเวนคืนตามกฎหมาย หากไม่เป็นใน 2 กรณีดังกล่าว ให้กรมรางดำเนินการเวนคืน

หมวด 3 เขตระบบรถขนส่งทางราง และเขตปลอดภัยระบบรถขนส่งทางราง (มาตรา 34-39)

หมวด 4 การประกอบกิจการขนส่งทางราง (มาตรา 40-80)

- ส่วนที่ 1 การขออนุญาตประกอบกิจการขนส่งทางราง (มาตรา 40-53) กำหนดให้การประกอบกิจการขนส่งทางรางต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี โดยมีใบอนุญาต 3 ประเภท ได้แก่ (1) ใบอนุญาตประกอบกิจการรางเพื่อการขนส่ง (2) ใบอนุญาตประกอบกิจการเดินรถขนส่งทางราง (3) ใบอนุญาตประกอบกิจการรางเพื่อการขนส่งและการเดินรถขนส่งทางราง

ซึ่งผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการขนส่งทางรางต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด ทั้งนี้ อธิบดีมีอำนาจสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้ และเสนอต่อรัฐมนตรีมีคำสั่งเพิกถอนได้ กรณีฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข

- ส่วนที่ 2 หน้าที่ของผู้ประกอบกิจการขนส่งทางราง (มาตรา 54-62) ผู้ได้รับใบอนุญาตในการประกอบกิจการขนส่งทางรางมีหน้าที่ต้องประกอบกิจการตามประเภทและเงื่อนไขที่กำหนดในใบอนุญาต และมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ต้องดำเนินการประกอบกิจการให้เป็นไปตามมาตรฐาน, กำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ประจำหน้าที่ จัดส่งรายงานประกอบกิจการตามกำหนด, ให้บริการอย่างเสมอภาค, รายงานอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น, จัดให้มีประกันภัยให้ความร่วมมือในการปฏิบัติการตาม พ.ร.บ.นี้

- ส่วนที่ 3 การกำหนดอัตราค่าโดยสารและค่าบริการ

(มาตรา 63-66) การกำหนดอัตราค่าโดยสาร ค่าขนส่ง ค่าใช้ประประโยชน์จากรางและทรัพย์สินที่จำเป็นในการประกอบกิจการขนส่งทางรางและค่าบริการอื่น ต้องเหมาะสมและเป็นธรรมต่ ผู้ใช้บริการ แต่ต้องไม่เกินอัตราขั้นสูงที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

- ส่วนที่ 4 การเชื่อมต่อรางเพื่อการขนส่งทางรางร่วมกัน (มาตรา 67-70) เจ้าของโครงการ หรือเอกชนเจ้าของรางหรือทางเฉพาะ มีหน้าที่ต้องยินยอมให้มีการเชื่อมต่อรางหรือทางเฉพาะเพื่อการขนส่งร่วมกันเมื่อมีการร้องขอ โดยปฏิบัติต่อผู้ขอเชื่อมต่อทุกรายอย่างเป็นธรรม สมเหตุสมผล และไม่เลือกปฏิบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการให้เป็นไปตามที่อธิบดีประกาศกำหนด

- ส่วนที่ 5 การจัดสรรความจุ ตารางเวลาการเดินรถ และเส้นทาง (มาตรา 71-80) ให้มีคณะกรรมการจัดสรรเวลาการเดินรถขนส่งทางรางขึ้น ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของ ครม. มีหน้าที่และอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเวลาการเดินรถขนส่งทางราง ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ข้อขัดแย้ง ที่พิจารณาความเหมาะสมของการใช้ประโยชน์ราง มีอำนาจทบทวน ปรับเปลี่ยนขีดความสามารถความจุทาง

หมวด 5 การสอบสวนอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ (มาตรา 81-94) มี 2 ส่วน คือ 1. คณะกรรมการสอบสวนฯ โดยรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของ ครม. และ 2. การสอบสวนฯ ต้องดำเนินการโดยอิสระปราศจากการแทรกแซง

หมวด 6 ผู้ตรวจการขนส่งทางราง (มาตรา 95-100)

หมวด 7 ผู้ประจำหน้าที่ (มาตรา 101-110) ได้แก่ พนักงานขับรถขนส่งทางราง พนักงานควบคุม ต้องมีคุณสมบัติ ได้แก่ สัญชาติไทย มีความรู้และทักษะตามประเภทและลักษณะการปฏิบัติหน้าที่ มีความประพฤติเรียบร้อย มีอายุ สุขภาพร่างกายสมบูรณ์ โดยใบอนุญาตแต่ละประเภทมีอายุตามกำหนดในกฎกระทรวง แต่ไม่เกิน 10 ปี อธิบดีกรมรางมีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาตได้ครั้งละไม่เกิน 180 วัน ให้อำนาจอธิบดีสั่งเพิกถอนใบอนุญาตได้

หมวด 8 การจดทะเบียนรถขนส่งทางราง (มาตรา 111-121)

หมวด 9 การคุ้มครองผู้โดยสารและผู้ใช้บริการ (มาตรา 122-127)

หมวดที่ 10 บทกำหนดโทษ (มาตรา 128-157) โทษปรับทางปกครอง และโทษทางอาญา

บทเฉพาะกาล (มาตรา 158-165) เนื่องจากเป็นกฎหมายใหม่ เพื่อไม่ให้กระทบสิทธิ์ บรรดาอำนาจ สิทธิประโยชน์ที่ รฟท.และรฟม.มีอยู่ตามกฎหมายของตนเองให้ยังคงอยู่ต่อไป เพียงเท่าที่ไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.นี้, กรณีรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานท้องถิ่น มีสัมปทานหรือทำสัญญาหรือให้สัมปทานก่อน พ.ร.บ.นี้บังคับใช้ ให้คงสิทธิตามขอบเขตสัญญาสัมปทานต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุด กรณีผู้รับสัมปทานหรือผู้ทำสัญญาจ้างเดินรถกระทำผิดตาม พ.ร.บ.นี้ ให้ถือเป็นเหตุเพิกถอนสัมปทานได้


@ ทยอยทำกฎหมายลูก 69 ฉบับ ประกอบ พ.ร.บ.หลัก

ภายใต้ พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ จะมีกฎหมายลำดับรองประกอบ พ.ร.บ. จำนวน 69 ฉบับ ซึ่งจะมีทั้งกฎกระทรวง และข้อบังคับ และระเบียบ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มด้านระบบกำกับดูแลความปลอดภัยและความมั่นคงของการขนส่งทางราง และกลุ่มด้านที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เช่น อัตราค่าโดยสาร และการคุ้มครองผู้ใช้บริการ รวมถึงการบริหารจัดการทางให้เกิดมูลค่าเพิ่ม

ซึ่งกรมรางอยู่ระหว่างการจัดทำร่างรายละเอียดกฎหมายลูกแต่ละฉบับฯ เพื่อเตรียมดำเนินการภายหลังกฎหมายแม่มีผลบังคับใช้ โดยที่เป็นกฎกระทรวงจะเสนอ ครม.เห็นชอบ ส่วนที่เป็นข้อบังคับเป็นอำนาจอธิบดีกรมรางลงนาม

พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.)
@ยัน รฟท.เป็นผู้จัดสรรความจุทางให้เอกชนร่วมเดินรถ และจัดเก็บรายได้

สำหรับประเด็นที่สหภาพฯ รฟท.คัดค้าน เพราะเห็นว่า พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ ซ้ำซ้อนกับกฎหมายที่ รฟท.ถือใช้บังคับอยู่ และเป็นการจำกัดอำนาจ และสิทธิของ รฟท. รวมไปถึงให้กรรมสิทธิ์รางและทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการรางเพื่อการขนส่ง ได้แก่ สถานี ทางเข้าสถานี รวมถึงพื้นที่เชื่อมต่อจะถูกโอนไปที่กรมราง มีการเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาใช้ทางรถไฟ เป็นต้น

“พิชษฐ คุณาธรรมรักษ์” ชี้แจงว่า ในร่าง พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ เปิดโอกาสให้มีเอกชนเข้ามาเดินรถร่วมจริง แต่อยู่บนพื้นฐานที่เป็นความจุทาง ที่ รฟท.ไม่ใช้ประโยชน์แล้ว หรือนำความจุทางที่เหลือมาจัดสรรให้เอกชนนั่นเอง ทั้งนี้ เพื่อให้มีการใช้ทางอย่างเต็มประสิทธิภาพ และคุ้มค่ากับที่ลงทุนก่อสร้างไป 

ซึ่งในทุกๆ ปี รฟท.จะเป็นผู้กำหนดความต้องการใช้ทาง โดยทำงานร่วมกับคณะกรรมการจัดสรรความจุทางที่แต่งตั้งโดย ครม. โดยมีผู้แทนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ องค์กรผู้บริโภค หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง

“นอกจากเป็นความจุเหลือจากที่ รฟท.ต้องการใช้แล้ว เอกชนต้องจ่ายค่าใช้ทางให้ รฟท. เท่ากับ รฟท.เป็นผู้บอกว่าความจุทางเหลือเท่าไร และยังเป็นผู้รับรายได้จากค่าเช่าค่าใช้ทาง หรือกรณีให้เอกชนร่วมลงทุนในการเดินรถ รฟท.จะเป็นเจ้าของสัมปทานเอง รายได้ สิทธิประโยชน์ตกอยู่กับ รฟท.ทั้งสิ้น จึงไม่น่ามีข้อกังวลใดๆ และไม่มีมาตราไหนที่บอกว่า แปรรูป หรือกระทบต่อสิทธิประโยชน์พนักงานรถไฟ”

โดยหลักการ เมื่อ รฟท.สรุปได้ว่ามีความจุทางเหลือเท่าไร การเปิดให้เอกชนมาร่วมเดินรถจะต้องประกาศโดยทั่วไป ทั้งนี้ จะไม่กระทบต่อเอกชนที่มีสัญญาเดิมที่สัญญายังไม่หมด เพราะถือเป็นส่วนของความจุทางที่ รฟท.ใช้

อีกทั้งยังรองรับความจุทางที่เพิ่มขึ้นอีก 4 เท่า จากการก่อสร้างรถไฟทางคู่ที่กำลังจะทยอยแล้วเสร็จ โดยก่อนหน้านี้ รฟท.มีการศึกษาเส้นทางขนส่งสินค้า “ขอนแก่น-แหลมฉบัง” แต่ปัจจุบันเส้นทาง "หนองคาย-แหลมฉบัง" มีความน่าสนใจมากกว่า เพราะจะเชื่อมต่อกับรถไฟ "ลาว-จีน"

กรมรางระบุว่า กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางรางฉบับแรกของไทยจะทำให้การกำกับดูแลการประกอบกิจการขนส่งทางรางเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นเครื่องมือในการควบคุมด้านมาตรฐาน ทำให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้บริการ มีค่าโดยสาร ค่าบริการที่เป็นธรรม ส่งเสริมการเชื่อมต่อระบบรางกับขนส่งรูปแบบอื่น อันจะส่งผลให้การเดินทางสะดวก ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นแน่นอน...และจะจูงใจให้มีผู้ใช้บริการระบบรางมากขึ้น ผู้ประกอบการก็จะมีรายได้มากขึ้นไปด้วย และนำไปพัฒนาบริการให้ดียิ่งๆ ขึ้น... เป็นวงจรการพัฒนาที่ยั่งยืน!!!




กำลังโหลดความคิดเห็น