xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องเล่าอัศจรรย์จากป่าชายเลนปากแม่น้ำบางปะกง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แสงแดดยามเช้าสาดส่องมายังเหล่าต้นโกงกางและพันธุ์ไม้ป่าชายเลนเขียวขจีทั่วทั้งเกาะธรรมชาติท่าข้ามที่โอบล้อมด้วยแม่น้ำบางปะกง สัตว์ประจำถิ่นของป่าชายเลนอย่างเจ้าปูแสมตัวจิ๋วและนกหลากหลายสายพันธุ์ต่างออกมารับแดดพร้อมผลัดกันส่งเสียงทักทายพวกเราที่สัญจรเข้ามาเยือนอย่างสนุกสนาน ความสวยงามและอุดมสมบูรณ์นี้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงนิเวศของชาวตำบลท่าข้าม อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่สามารถพลิกฟื้นคืนชีวิตป่าชายเลนจากความร่วมมือระหว่างชุมชนตำบลท่าข้าม โรงไฟฟ้าบางปะกง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

“ภาพจำในอดีตยังคอยย้ำเตือนใจอยู่เสมอ ป่าต้นจากแก่ๆ ป่าชายเลนที่เสื่อมโทรมถูกทอดทิ้งไม่ได้รับการดูแล หนำซ้ำยังถูกบุกรุกเข้ามาใช้พื้นที่เป็นบ่อเลี้ยงกุ้งจนไม่มีใครอยากเข้ามาในพื้นที่ แต่เพราะที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ในตำบลท่าข้าม ถ้าพวกเราชาวท่าข้ามไม่ดูแลแล้วใครจะดูแล” สมจิตร์ พันธุ์สุวรรณ นกยกเทศมนตรีตำบลท่าข้าม หรือนายกอ้วน เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการพลิกฟื้นผืนป่าชายเลนของคนในชุมชน

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจึงอนุญาตให้เหล่าจิตอาสาตำบลท่าข้ามเข้ามาดูแลฟื้นฟูพื้นที่บนเกาะธรรมชาติท่าข้ามกว่า 60 ไร่ โดยได้รับการสนับสนุนจากโรงไฟฟ้าบางปะกง กฟผ. ระดมแรงกายแรงใจช่วยกันปลูกป่า จัดเตรียมพันธุ์ต้นกล้า สร้างสะพานศึกษาเส้นทางธรรมชาติ หอดูนก และห้องบรรยาย ทำให้พื้นที่เกาะธรรมชาติท่าข้ามกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านระบบนิเวศแห่งใหม่


“จนถึงวันนี้ผ่านมาแล้วกว่า 10 ปี ความสำเร็จเกิดจากความร่วมมือของทุกหน่วยงาน เห็นได้จากต้นโกงกางทั้งใบใหญ่และใบเล็กที่แผ่รากค้ำจุนไปทั่วทั้งเกาะ ต้นลำพู ต้นประสักขาว-แดง ต้นไม้ป่าชายเลนสามารถเกิดขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ ระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์ จำนวนสัตว์น้ำเพิ่มมากขึ้น นกนานาพันธุ์ก็ได้บินมาขออาศัยความร่มเย็นในพื้นที่แห่งนี้มากกว่า 50 ชนิด สร้างอาชีพในการนำเที่ยวให้กับชุมชนในพื้นที่ นับว่าสมใจชาวท่าข้ามไม่น้อยเลยทีเดียว” นกยกอ้วน เล่าให้ฟังด้วยสีหน้าสุขใจ


ข้ามมาอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำบางปะกงในพื้นที่ชุมชนคลองหัวจาก ชุมชนเล็กๆ ที่มีจุดศูนย์กลางของชุมชนอยู่ที่โรงเรียนพระพิมลเสนี (พร้อม หงสกุล) เราได้พบกับผู้อำนวยการโรงเรียนและเด็กๆ ถือต้นกล้าและอุปกรณ์ปลูกป่าเดินมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังป่าชายเลนที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา เพื่อใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สามารถสร้างรายได้และสร้างอากาศที่บริสุทธิ์ให้แก่ชุมชน

“ย้อนไปเมื่อปี 2562 ป่าชายเลนในพื้นที่ของโรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ดินและน้ำเน่าเสียส่งกลิ่นเหม็นปกคลุมไปทั่วบริเวณ ต้นไม้ทยอยตายทีละต้นจนเกลี้ยง สัตว์น้ำไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ กลายเป็นพื้นที่รกร้าง โรงเรียนจึงร่วมมือกับชุมชน ซึ่งเป็นผู้ปกครองของเด็กๆ ช่วยกันฟื้นคืนชีพป่าชายเลน แต่ขณะนั้นเราไม่มีองค์ความรู้ ไม่มีแนวทางที่จะแก้ไข โรงไฟฟ้าบางปะกง กฟผ. จึงเข้ามาช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้กับเรา พร้อมนำทีมโครงการพลังชุมชนและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนเข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้กับชุมชน” สิริกร บุญทัน ผู้อำนวยการโรงเรียนพระพิมลเสนี (พร้อม หงสกุล) เล่าให้พวกเราฟังระหว่างเดินเข้าป่าชายเลนไปพบกับ ดร.ชลกานดาร์ นาคทิม ผู้ประสานงานโครงการพลังชุมชนและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของ กฟผ. สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สมาคมพัฒนาศักยภาพและอัจฉริยภาพมนุษย์ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ดร.ชลกานดาร์เล่าว่า เราเริ่มแก้ไขจากปัญหาดินเสียเป็นอันดับแรก เพราะป่าชายเลนจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น ดินเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก โรงไฟฟ้าบางปะกง กฟผ. และโครงการฯ จึงได้พาชุมชนไปหาความรู้จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี และพื้นที่ป่าชายเลนที่ประสบความสำเร็จอื่นๆ เพื่อนำความรู้มาประยุกต์กับภูมิปัญญาชาวบ้านในการแก้ไขปัญหาดิน ทั้งการทำคลองไส้ไก่ การโพรงดินให้น้ำไหลได้อย่างสะดวก การเติมจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับดินในพื้นที่ป่าชายเลนของโรงเรียน เราใช้เวลากว่า 1 ปี ปัญหาดินเสียจึงเริ่มดีขึ้น โดยเห็นได้จากปูแสมและปลาตีนที่กลับมาให้ได้เห็นกันบ้าง หลังจากนั้นจึงค่อยปลูกป่าชายเลนควบคู่ไปกับการดูแลรักษาดินอย่างต่อเนื่อง


พื้นที่ป่าชายเลนในวันนี้เขียวขจี สัตว์เจ้าถิ่นวิ่งไปมาให้ได้เห็นอย่างหนาตา แม้อาจจะยังไม่สมบูรณ์มากนัก เพราะเป็นเพียงก้าวแรกของชุมชนที่กำลังร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนา แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือชุมชนได้รับองค์ความรู้ รู้จักดูแลป่า ดิน และน้ำ รวมถึงพัฒนาป่าแห่งนี้ให้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ทางระบบนิเวศป่าชายเลนจากประสบการณ์ตรงของชุมชนที่เปิดโอกาสให้ทุกหน่วยงานสามารถเข้ามาเรียนรู้ พร้อมทั้งยังสามารถปลูกฝังจิตสำนึกรักป่าชายเลนให้กับลูกหลานในชุมชนซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย

ธันย์ชนก เดชหนู ตัวแทนชุมชน ยังเล่าให้เราฟังอีกว่า ชุมชนได้จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนกลุ่มต้นกล้าป่าชายเลน ชุมชนคลองหัวจาก นำความรู้ที่ได้รับมาก่อให้เกิดการสร้างอาชีพเสริมในชุมชน ทั้งการเพาะพันธุ์กล้าไม้ขาย สานตะกร้าจากใบจากเพื่อใช้แทนถุงดำเพาะต้นกล้า รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้จากความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน เช่น ปูแสมดอง ชาใบขลู่สามสหาย ที่พี่ๆ เตรียมมาให้พวกเราได้ลองชิมแก้ดับกระหายกันอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะโบกมือลากันในเย็นวันนั้น

ชาใบขลู่สามสหาย ผลิตภัณฑ์จากป่าชายเลน


ป่าชายเลนทั้งสองพื้นที่ที่พวกเราได้มาเยือนต่างมีเรื่องเล่าความเป็นมาและปัญหาที่แตกต่างกัน แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การสร้างความสมบูรณ์ของระบบนิเวศป่าชายเลนให้ฟื้นคืนกลับมา ความสำเร็จไม่ต้องพูดก็สามารถเห็นได้จากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทุกคนที่เล่าเรื่องราวให้ฟัง บ่งบอกได้ว่าวันนี้พวกเขามีความสุขกับความอุดมสมบูรณ์นี้มากแค่ไหน นับเป็นความภาคภูมิใจของ กฟผ. ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมปลูกป่าและดูแลรักษาป่าร่วมกับชุมชนจนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ทางระบบนิเวศที่สำคัญของชาวบางปะกงที่จะเชิญชวนให้เหล่านักเดินทางผู้หลงรักในป่าชายเลนเข้ามาเยี่ยมเยียนศึกษาเรื่องราว และนำไปเล่าขานถึงดินแดนที่สามารถพลิกฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์

ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดสนใจร่วมโครงการปลูกป่าล้านไร่อย่างมีส่วนร่วมกับ กฟผ. สามารถติดต่อประสานงานได้ที่ฝ่ายบริหารด้านการใช้ไฟฟ้าและกิจการเพื่อสังคม กฟผ. โทร. 08-2337-5040


กำลังโหลดความคิดเห็น