ผู้จัดการรายวัน 360 - ภาพรวมอีเวนต์ปีนี้กลับมา 40-50% จาก 15,000 ล้านบาทก่อนมีโควิด อินเด็กซ์มูฟออนทันที ปักหมุดทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ Real & Digital Xperience ซุ่มใช้งบกว่า 410 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืนจากกลุ่มมาลีนนท์สู่สัดส่วน 93.62% เพื่อก้าวสู่โลกดิจิทัล ผุดโปรเจกต์แรกร่วมกับ D.OASIS และพร้อมบุกตปท.เต็มกำลังอีกครั้ง มั่นใจสิ้นปีรายได้กลับมาแตะที่ 1,000 ล้านบาทได้แน่
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทางอินเด็กซ์ได้ทยอยซื้อหุ้นคืนจาก เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ในกลุ่มมาลีนนท์ จนปัจจุบันทำให้อินเด็กซ์ถือหุ้นอยู่ 93.62% จาก 50% และทางกลุ่มมาลีนนท์เหลือหุ้นอยู่ 6.38% ทั้งนี้เพื่อต้องการทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ Real & Digital Xperience
“กลุ่มมาลีนนท์เข้ามาถือหุ้น 50% ตั้งแต่ปี 2558 โดยตลอด 2 ปีนี้บริษัทได้ทยอยซื้อหุ้นคืนจาก 50% เพิ่มเป็น 93.62% ซึ่งเหตุผลที่ซื้อหุ้นคืนเพราะต้องการเปลี่ยนแผนธุรกิจให้เป็น Real & Digital Xperience มากขึ้น พร้อมมองหาพาร์ตเนอร์ด้านดิจิทัลเข้ามาเสริมทัพ ทั้งในรูปแบบเข้าไปถือหุ้น หรือมาจอยต์เวนเจอร์ร่วมกัน เพื่อมาต่อยอดธุรกิจเดิมที่มีอยู่ อีกทั้งมีแผนทำ IPO พร้อมขายในปี 2567”
อย่างไรก็ตาม รูปแบบงาน Real & Digital Xperience ได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว เช่น 1. การจับมือกับทาง D.OASIS The ‘Sandbox Metaverse’ ก้าวเข้าสู่ Metaverse Era กับโลกเสมือนระดับโลกของเมืองไทย เชื่อมต่อโลกธุรกิจ, บันเทิง, ครีเอทีฟ, การศึกษา และไลฟ์สไตล์ และออกขาย NFT Human X Club ถือเป็นแผนหนึ่งในการเชื่อมโยงกับ Real Experience ซึ่งเป็นฐานเดิมของธุรกิจ
2. รับจ้างจัดงาน Bitkub Fantastic 4th run 2022 เป็น real experience run to earn ครั้งแรกของไทย นักวิ่งที่ร่วมงานจะได้เก็บ NFT limited 1,000 ชิ้นในงาน
3. Japan Immersive Experience พบกับ Digital Art Experience รูปแบบ 360 องศา เริ่ม 8 กรกฎาคม-15 สิงหาคม ณ House of illumination ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
4. คอนเสิร์ตแสตมป์ อภิวัชร์ เป็นคอนเสิร์ต NFT ที่เป็น Immersive Concert and Art Experiences โดยใช้เหรียญ NFT เพื่อร่วมกิจกรรมภายในงานได้ จัดวันที่ 18-21 สิงหาคม 2565 ณ House of illumination ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
อย่างไรก็ตาม ปี 2565 นี้บริษัทพร้อมกลับบุกตลาดต่างประเทศเต็มกำลัง หลังจากสถานการณ์โลกเริ่มกลับมาเปิดประเทศกันได้แล้ว เริ่มด้วยประเทศกัมพูชา ครึ่งปีหลังนี้จะเน้นจัดเทรดแฟร์ ได้แก่ งาน Cambodia Architect & Décor จัดร่วมกับงาน Cambodia Health and Beauty Expo และ Cambodia Food Plus Expo วันที่ 5-7 สิงหาคม ณ ประเทศกัมพูชา และงาน Virtual Exhibition Architect & Décor ,Virtual Exhibition FoodBev Retail, Health & Beauty จัดวันที่ 25-26 พฤศจิกายนนี้ ส่วนในพม่านั้น ได้กลับเข้าไป Operation ที่ย่างกุ้งทันทีที่พม่าเปิดประเทศ ในการดูแลคอมมูนิเคชันและจัดงานอีเวนต์ให้ลูกค้า ซึ่งเริ่มไปแล้วหลายงาน เช่น ค่ายมือถือ Ooredoo, แม็คโคร เป็นต้น
นายเกรียงไกรกล่าวต่อว่า จากสัญญาณบวก 6เง เดือนแรก และแนวโน้มอีเวนต์ประเภทเอนเตอร์เทนเมนต์ หรือคอนเสิร์ต ที่จะกลับมาคึกคักในช่วงไตรมาสสี่นี้ เชื่อว่าจะส่งผลให้ทั้งปี 2565 ตลาดอีเวนต์น่าจะกลับมาได้ 40-50% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนที่จะเกิดโควิด หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 6,000-7,500 ล้านบาท จาก 15,000 ล้านบาท
ในส่วนของอินเด็กซ์เอง พบว่าผลประกอบการครึ่งปีแรกยอดโต 72% หรือมีรายได้ 479.29 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2564 และเมื่อเทียบระหว่าง Q1 และ Q2 ของปีนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ดังนั้น ตลอดทั้งปีนี้มองว่าบริษัทจะกลับมาทำรายได้เกิน 1,000 ล้านบาทได้แน่ จากยอดแบ็กดรอปของปีนี้ที่คำนวณไว้ 965.47 ล้านบาท โตขึ้น 54% จากปีก่อน โดยมาจาก 1. กลุ่มมาร์เกตติ้ง เซอร์วิส 498.79 ล้านบาท 2. กลุ่มธุรกิจครีเอทีฟ บิสิเนส ดีเวลลอปเมนต์ 273.03 ล้านบาท และ 3. กลุ่มโอน-โปรเจกต์ 193.66 ล้านบาท ซึ่งรายได้จากการรุกดิจิทัลนั้นจะอยู่ในส่วนของกลุ่มธุรกิจโอน-โปรเจกต์ ซึ่งเริ่มมียอดเข้ามา 5-10% ของรายได้ในส่วนนี้แล้ว ทั้งนี้ อนาคตวางเป้าหมายไว้ว่าธุรกิจโอน-โปรเจกต์จะเป็นรายได้หลักของบริษัท หรือมีสัดส่วนรายได้มากกว่า 50% ขึ้นไป จากที่ปีนี้มีสัดส่วนอยู่ที่ 20%