xs
xsm
sm
md
lg

“สุพัฒนพงษ์” ปั้นไทยสู่พลังงานสะอาดลดนำเข้าน้ำมัน-LNG สร้างอุตฯ ใหม่รับลงทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สุพัฒนพงษ์” เร่งขับเคลื่อนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนปี ค.ศ. 2050 หวังปูทางไทยลดพึ่งพิงนำเข้าพลังงานทั้งน้ำมันและ LNG ในอนาคตป้องวิกฤตราคาแพงยามต่างประเทศขัดแย้ง สร้างอุตสาหกรรมใหม่ทั้งพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ดึงดูดต่างชาติย้ายฐานซบไทย

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แสดง
ปาฐกถา "ความท้าทาย COP26 กับบริบทการใช้พลังงานของประเทศไทย" ในงาน FTI Expo 2022 ว่า ปัจจุบันไทยนำเข้าน้ำมัน 90% จากต่างประเทศ เมื่อประเทศต่างๆ เกิดความขัดแย้งย่อมกระทบต่อไทย ดังนั้นระยะยาวรัฐบาลจึงกำหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065 เพื่อให้ไทยได้พึ่งพาตนเองด้านพลังงานและก้าวสู่พลังงานสะอาดเพื่อดึงดูดการย้ายฐานการผลิตมาไทยควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสระบบนิเวศให้อุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ทางด้านพลังงานเกิดขึ้น เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เกี่ยวข้อง

“ท่านนายกฯ ได้ประกาศในเวทีการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2564 หรือ COP26 ที่เห็นพ้องว่าต้องควบคุมไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสจากเดิมไม่เกิน 2 องศาฯ ประเทศต่างๆ ก็วางเป้าหมาย และกติกาโลกก็ก้าวไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งแน่นอนว่าหากปล่อยก็ไม่มีปัญหาแต่จะเจอกับมาตรการกีดกันการค้า (NTB) ซึ่งขณะนี้ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจก 350 ล้านตันต้องจ่ายเงินผ่านการซื้อขายคาร์บอนเครดิตหากคิดราคาที่เทรดวันนี้เราต้องจ่าย 1 ล้านล้านบาทต่อปี การที่ไทยประกาศชัดเจนก็เพื่อบอกว่าเราจะยืนข้างหน้าเป็นผู้นำในอาเซียนไม่เป็นผู้สร้างภาระ ประเทศต่างๆ ก็หันมาสนใจเรามากขึ้นโดยเฉพาะการเป็นฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยง NTB” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว

ทั้งนี้ การลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกสำคัญสุด กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการที่จะลดทั้งในภาคไฟฟ้าที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ราว 81 ล้านตัน/ปี เช่น การซื้อไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น การเพิ่มสัดส่วนรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเป็น 1 หมื่นเมกะวัตต์ช่วง 10 ปีแรก ฯลฯ ภาคขนส่งที่ก่อ CO2 80 ล้านตันต่อปีได้วางแนวทางการลด เช่น การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ฯลฯ บ้านที่พักอาศัยและภาคอุตสาหกรรมปล่อย CO2 53 ล้านตันต่อปีจะมุ่งเน้นแผนการประหยัดพลังงาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริมการปลูกป่าเพื่อดูดซับ และการศึกษากับกลุ่ม ปตท.ในการนำ CO2 ไปกักเก็บในแหล่งปิโตรเลียมทั้งในทะเล และบนบก

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า จากแนวทางดังกล่าวระยะยาวไทยจะลดการนำเข้าน้ำมัน ลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากต่างประเทศ โดยส่วนหนึ่งจะถูกแทนจากการเปลี่ยนไปสู่ EV ที่ใช้ระบบไฟฟ้าและไฮโดรเจน ระบบไฟฟ้าจะพึ่งพาตนเองไปสู่พลังงานหมุนเวียนทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ ลม โรงไฟฟ้าชีวมวล ชีวภาพ ฯลฯ และสร้างโอกาสในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่นการเกิดขึ้นของสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์เพื่อป้อน EV อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดจะมีมากขึ้น ส่วนกรณีกลุ่ม ปตท.ในเรื่องของน้ำมันและก๊าซฯ ได้เตรียมตัวรับมือไว้แล้ว โดยส่วนของก๊าซฯ จะมุ่งมาทำไฮโดรเจนส่งตามท่อและโรงไฟฟ้า หรือขนส่งเป็นแอมโมเนียจำหน่ายต่างประเทศ ฯลฯ ส่วนน้ำมันโรงกลั่นเองต้องปรับตัวหันไปมุ่งเน้นการทำปิโตรเคมีมากขึ้น

“เราจะมีกิจกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมากจากสิ่งเหล่านี้ ทีแรกผมห่วงเอทานอลและน้ำมันปาล์มนะแต่โลกวันนี้เปลี่ยนไปเอทานอลก็ไปผสมน้ำมันเครื่องบินได้มากขึ้น ไปทำพลาสติกชีวภาพได้ ส่วนปาล์มเองก็ต่อยอดไปสู่โอลิโอเคมี ส่วนรถยนต์สันดาปเราเองก็ค่อยๆ ส่งเสริม EV ให้เวลาปรับตัว การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เองก็กำลังศึกษาเพื่อดำเนินโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดในเขื่อน 9 แห่งซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ และบังเอิญแต่ละแห่งจะอยู่ใกล้กับเขตพัฒนาพิเศษในภูมิภาคที่รัฐวางแผนหลังทำเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ก็จะขยายไปยังภูมิภาคอื่นๆ ก็จะทำให้ไทยมีความหลากหลายพลังงานไฟฟ้าสะอาดในการรองรับการย้ายฐานการผลิต เหล่านี้มันเป็นโอกาสจริงๆ ต้องประคับประคองประเทศให้ผ่านช่วงที่ยากลำบากในวันนี้ที่ต้องร่วมมือกัน” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น