บางจากลั่นผลประกอบการไตรมาส 2/65 โตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาส 1/65 เนื่องจากยอดขายและราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และรับรู้กำไรจาก OKEA เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนกรณีที่รัฐเจรจาให้โรงกลั่นส่งกำไรค่าการกลั่นส่วนเกินเข้ากองทุนน้ำมันก็พร้อมปฏิบัติตามภายใต้กฎหมายที่ชัดเจน หวั่นสงครามยืดเยื้อดันราคาดีเซลดีดตัวขึ้น 200 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงฤดูหนาว แนะรัฐเร่งส่งเสริมการใช้เอทาทอล โดยส่งเสริมการใช้ E20 ด้วยการเพิ่มส่วนต่างราคากับแก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 จะช่วยลดราคาน้ำมัน 0.80-1 บาทต่อลิตร
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มบริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2565 ว่า โรงกลั่นน้ำมันบางจากมีกำลังการกลั่นในไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 102% หรือประมาณ 1.22-1.23 แสนบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ขณะที่ยอดขายน้ำมันและราคาน้ำมันในช่วงไตรมาส 2/2565 ก็เติบโตขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาส 1/2565 รวมทั้งมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันเล็กน้อยในไตรมาสนี้ ส่งผลประกอบการไตรมาส 2/2565 เติบโตขึ้นเมื่อเทียบจากไตรมาส 2/2564 และไตรมาสก่อน
นอกจากนี้ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ก็ได้รับอานิสงส์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นจากสงครามรัสเซียกับยูเครน โดย OKEA ASA ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บางจากถือหุ้นอยู่ 46% ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายแหล่งปิโตรเลียมในทะเลเหนือ 3 แหล่ง (35.2% ในแหล่ง Brage, 6.4% ในแหล่ง Ivar Aasen, และ 6% ในแหล่ง Nova) ซึ่งจะเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมในปี 2565 ของ OKEA อีกประมาณ 5,000-6,000 บาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันผลิตอยู่ที่ 2 หมื่นบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ OKEA ยังมีการเจรจาซื้อแหล่งปิโตรเลียมใหม่เพิ่มเติมด้วย เน้นการซื้อแหล่งปิโตรเลียมที่ผลิตเชิงพาณิชย์แล้วเพื่อรับรู้รายได้ทันที คาดว่าจะเห็นการซื้อแหล่งปิโตรเลียมเพิ่มอีกในปีนี้
ปัจจุบันโรงกลั่นบางจากมีกำลังการกลั่นน้ำมันดีเซลคิดเป็นสัดส่วน 50% เบนซิน 16% ก๊าซ LPG 3-4% น้ำมัน UCO 20% และน้ำมันเตา 10%
นายชัยวัฒน์กล่าวถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกว่ายังทรงตัวสูง ล่าสุดราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 110 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 170 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากสงครามรัสเซียกับยูเครนที่มีการคว่ำบาตรการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งเดิมรัสเซียส่งออกน้ำมัน 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน แบ่งเป็นน้ำมันดิบ 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน และน้ำมันสำเร็จรูป 2 ล้านบาร์เรลต่อวันไปยังยุโรป แต่เมื่อเกิดสงคราม รัสเซียมีการส่งออกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นไปตลาดจีนและอินเดียที่มีสัญญาระยะยาวในราคาที่ถูก แต่น้ำมันสำเร็จรูปที่เดิมส่วนใหญ่ขายให้ยุโรปได้ถูกระงับการซื้อขาย ทำให้น้ำมันสำเร็จรูปรัสเซียหายไปจากตลาด ทำให้เกิดความกังวลว่าฤดูหนาวจะยิ่งทำให้ดีมานด์น้ำมันดีเซลและ LPG เพิ่มขึ้น และหากสงครามยังยืดเยื้อคาดว่าราคาน้ำมันดีเซลมีโอกาสแตะ 200 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ส่วนกรณีภาครัฐอยู่ระหว่างการหารือเพื่อให้โรงกลั่นส่งกำไรค่าการกลั่นส่วนเกินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น บางจากพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐภายใต้กฎหมาย และมาตรการต่างๆ ที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถตอบคำถามผู้มีส่วนได้เสีย และผู้ถือหุ้นได้ เนื่องจากบางจากเป็นบริษัทมหาชน จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตาม แนวทางแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก รัฐควรสนับสนุนการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถผลิตได้เองในประเทศ อีกทั้งราคาเอทานอลต่ำกว่าราคาน้ำมันค่อนข้างมาก ล่าสุดราคาเอทานอลอยู่ที่ 25-26 บาทต่อลิตร เทียบกับเนื้อน้ำมันเบนซิน 34-35 บาทต่อลิตร หากรัฐส่งเสริมใช้แก๊สโซฮอล์ E20 ด้วยการเพิ่มส่วนต่างราคากับแก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 คาดว่าจะช่วยลดราคาน้ำมันปรับลดลงได้ 0.80-1 บาทต่อลิตร และยังลดการนำเข้าเบนซิน 95 ด้วย
นายชัยวัฒน์กล่าวอีกว่า กลุ่มบางจากฯ ได้ประกาศเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2673 และ Net Zero ในปี 2593 มีความมุ่งมั่นเดินหน้าร่วมขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำด้วยแผน BCP NET โดยล่าสุดบริษัทได้ลงนามความร่วมมือพัฒนาพื้นที่และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสู่ Low Carbon Destination หมู่เกาะหมาก อ.เกาะกูด จ.ตราด ร่วมกับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะหมาก วิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานบ้านอ่าวนิด โดยมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ร่วมเป็นพยาน เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องด้วยโมเดล Bangchak WOW
สำหรับการลงนามข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนาพื้นที่เกาะหมาก สู่เป้าหมายการเป็น Low Carbon Destination ในครั้งนี้ กลุ่มบางจากฯ มีความยินดีที่จะร่วมสนับสนุนพื้นที่เกาะหมากซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายแห่งแรกในโครงการแหล่งท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำของประเทศไทยที่ อพท.เป็นผู้ริเริ่มการขับเคลื่อน ผนวกกับการใส่ใจดูแลธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังจากชุมชนท้องถิ่น ถือเป็นพื้นที่ต้นแบบของประเทศในการร่วมบรรเทาภาวะวิกฤตโลกร้อน โดยการสนับสนุนคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในการศึกษา Blue Carbon จากการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของแหล่งหญ้าทะเลในแนวปะการังภาคตะวันออกเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งการดูดซับคาร์บอนด้วยวิถีธรรมชาติจากหญ้าทะเลนี้กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทั่วโลก ตามข้อมูลของ IUCN (International Union for Conservation of Nature) เมื่อปีที่แล้ว รายงานว่าหญ้าทะเลเป็นพืชกลุ่มเดียวที่อยู่ในทะเลเต็มตัวจึงมีความสามารถเฉพาะตัวในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าป่าบนบกถึง 7-10 เท่า
กลุ่มบางจากฯ ยังสนับสนุนแหล่งท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ อาทิ การนำมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า Winnonie ไปให้ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ได้ทดลองใช้เพื่อศึกษาความเหมาะสมผ่าน อบต.เกาะหมาก รวมถึงสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เช่นถุงมือและเสื้อที่ผลิตจากขวด PET รีไซเคิลมอบให้ทีมอาสาสมัคร Trash Heroes Koh Mak สำหรับเก็บขยะชายหาด และทีมงานวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานบ้านอ่าวนิด ใช้สำหรับกิจกรรมอนุรักษ์และฟื้นฟูหญ้าทะเล รวมถึงมีการศึกษาความเป็นไปได้ของความร่วมมืออื่นๆ เช่น โรงเรียน Net Zero จากการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด เป็นต้น