ส.อ.ท.เกาะติดสงครามรัสเซีย-ยูเครนใกล้ชิดหลังมีโอกาสบานปลายสู่พื้นที่ตะวันออกกลาง หวั่นดันน้ำมันโลกพุ่งสุดขีด กระทบดีเซลขายปลีกไทยทะลุเพดาน 35 บาทต่อลิตร ซ้ำเติมด้วยค่าไฟที่จ่อขึ้นช่วงปลายปีหวั่นกดดันสินค้าพาเหรดขยับแรง หนุนเงินเฟ้อขึ้นต่อ วอนรัฐเร่งดูแล SME แนวโน้มไปต่อยากหลังแบกต้นทุนสารพัดเพิ่ม
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.กำลังติดตามสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครนใกล้ชิดเนื่องจากเริ่มมีทิศทางที่ไม่เพียงยืดเยื้อแต่อาจขยายพื้นที่ไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางหลังมีสัญญาณความคุกรุ่นทั้งกรณีอิหร่านประกาศถึงเวลาในการปลดปล่อยปาเลสไตน์ออกจากอิสราเอล และรัสเซียได้แสดงท่าทีว่าที่ราบสูงโกลันเป็นดินแดนของปาเลสไตน์ ซึ่งหากความขัดแย้งรุนแรงขึ้นจะยิ่งส่งผลกระทบต่อระดับราคาน้ำมันตลาดโลกปรับเพิ่มต่อเนื่องและที่สุดอาจส่งผลให้ราคาดีเซลขายปลีกของไทยอาจต้องปรับเพดานทะลุเกิน 35 บาทต่อลิตรซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจไทยที่เหลือของปีนี้
“รัฐได้ทยอยปรับขึ้นดีเซลต่อเนื่องจาก 30 บาทต่อลิตรมาสู่ล่าสุด 34 บาทต่อลิตร และสัปดาห์หน้าอาจขึ้นไปสู่กรอบเพดาน 35 บาทต่อลิตรซึ่งเอกชนเองรับรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วและมีการวางแผนสำหรับการรับมือผลกระทบระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่กังวลคือราคาน้ำมันตลาดโลกที่ยังคงปรับตัวขึ้นสูงเดิมมีการคาดการณ์ว่าน้ำมันดิบดูไบจะเฉลี่ยทั้งปีที่ 100-120 เหรียญต่อบาร์เรลแต่ล่าสุดมองกันมาที่ 110-120 เหรียญต่อบาร์เรลซึ่งอาจทำให้ดีเซลทะลุไปสู่ระดับ 40 บาทต่อลิตรได้ ขณะที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุดติดลบกว่า 8.6 หมื่นล้านบาทหากน้ำมันโลกยังพุ่งสูงและรัฐอุดหนุนต่อเนื่องโอกาสแตะ 1 แสนล้านบาทก็มีเช่นกัน จึงเป็นสิ่งที่ต้องติดตามว่ารัฐจะมีแพกเกจออกมาเช่นไร” นายเกรียงไกรกล่าว
นอกจากนี้ อัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ในงวดหน้า (ก.ย.-ธ.ค. 65) มีการส่งสัญญาณจากภาครัฐที่อาจต้องปรับขึ้นอีกอย่างน้อย 40 สตางค์ต่อหน่วยซึ่งจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่จ่ายรวมแตะ 4.40 บาทต่อหน่วย ปัจจัยค่าพลังงานเหล่านี้จะยิ่งซ้ำเติมต้นทุนการผลิตสินค้ามากขึ้นซึ่งยังไม่รวมกับต้นทุนอื่นๆ ทั้งค่าขนส่ง ค่าบรรจุภัณฑ์ วัตถุดิบ ฯลฯ ที่มีราคาสูงตามและจะทยอยสะท้อนไปยังราคาสินค้า ดังนั้นจะกดดันให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยจะยิ่งสูงขึ้นจากล่าสุดเงินเฟ้อทั่วไป พ.ค. 65 อยู่ที่ 7.1% สูงสุดในรอบ 13 ปี ส่วน 5 เดือน อยู่ที่ 5.19% โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยปีนี้ของไทยจะอยู่ที่ 4.9% หากระดับน้ำมันโลกพุ่งสูงเงินเฟ้อ 6-7% ก็มีโอกาสเป็นไปได้เช่นกัน
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ธุรกิจรายใหญ่ๆ ภาคการส่งออกมีศักยภาพในการแบกรับภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นได้ แต่สิ่งที่น่าห่วงคือวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) โดยเฉพาะร้านอาหาร หรือสินค้าที่เน้นตลาดในประเทศอาจไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ท่ามกลางแรงซื้อประชาชนที่ต่ำ ส่งผลให้บางรายเลือกที่จะไม่ไปต่อ และแนวโน้มต้นทุนที่สูงขึ้นต่อเนื่องย่อมกระทบเอสเอ็มอีมากขึ้นแม้ว่าไทยจะมีการเปิดการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบก็ตาม จึงต้องการให้ภาครัฐเร่งเข้ามาแก้ไขและดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็นกรณีพิเศษแบบเร่งด่วน
“เอสเอ็มอีที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวเขาอาจจะอยากกลับมาทำธุรกิจอีกครั้ง แต่ที่ผ่านมาเจอทั้งโควิด-19 และมาซ้ำเติมด้วยต้นทุนต่างๆ ที่สูง หลายรายไม่อาจกลับมาดำเนินธุรกิจต่อเพราะขาดสภาพคล่อง รัฐต้องเข้ามาดูแลเร่งด่วน ซึ่งข้อเสนอ ส.อ.ท.เองก็เสนอไปบ่อยแล้ว ส่วนภาพรวมก็เห็นว่ามีความจำเป็นที่รัฐต้องหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เพื่อดูแลเศรษฐกิจที่เหลือของปีนี้ที่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเผชิญมรสุมใหม่ๆ โดยเฉพาะจากความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซียกับยูเครน” นายเกรียงไกรกล่าว