อินโนบิกในเครือ ปตท.ผนึก IRPC-PJW ศึกษาและพัฒนาวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ หวังปูทางไทยเเป็น MEDICAL Hub คาดเปิดตัวสินค้าบางชนิดออกสู่ตลาดได้ในปลายปีนี้
วันนี้ (7 มิถุนายน) บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (INNOBIC) โดยนายบุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ร่วมด้วย นายณัฐ อธิวิทวัส รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด นายสมเกียรติ เลิศฤทธิ์ภูวดล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์แผนและพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) และ นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) (PJW) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อร่วมกันศึกษาและหาโอกาสทางธุรกิจในธุรกิจวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ภายใต้การร่วมศึกษาข้อมูลตลาดเครื่องมือแพทย์ การออกแบบและพัฒนาการผลิตเครื่องมือแพทย์ การศึกษาความเป็นไปได้ของตลาดในด้านต่างๆ และศึกษากฎเกณฑ์เพื่อประเมินความเป็นไปได้ทางธุรกิจ
นายบุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (INNOBIC) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. และอินโนบิกฯ มุ่งมั่นที่จะผลักดันนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมกลุ่ม NEW S Curve และการเป็น MEDICAL Hub ของรัฐบาล ซึ่งอุตสาหกรรมวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ถือ เป็น NEW S Curve ที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือนี้จะเป็นการสร้างฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ของอาเซียนในประทศไทย สามารถสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมไทย โดยจะศึกษาเพื่อผลิตสินค้าที่มีความต้องการของตลาดแต่ยังไม่มีนวัตกรรมที่เหมาะสมและยังไม่ได้ผลิตในประเทศในปัจจุบัน ซึ่งการร่วมมือกันในครั้งนี้จะเป็นรากฐานและเป็นตัวอย่างที่สำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมทางการแพทย์ของไทยต่อไปในอนาคต
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร PJW กล่าวว่า ร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการต่อยอดธุรกิจภายใต้การเป็น Strategic Partner ร่วมกัน โดยนำจุดแข็งความเชี่ยวชาญของทั้ง 3 บริษัทมาช่วยผลักดันในการสร้างมูลค่าการตลาดผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากพลาสติกในกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองให้เพิ่มสูงขึ้น และยังร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เติบโตไปพร้อมๆ กัน ภายใต้การแสวงหาโอกาสในการลงทุนร่วมกันในธุรกิจผลิต และจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ทางการแพทย์เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ สอดรับกับการที่ประเทศไทยจะก้าวสู่การเป็น Medical Hub อย่างเต็มรูปแบบ
สำหรับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากพลาสติกในกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองที่ได้จากการวิจัยและพัฒนาร่วมกันกับพันธมิตรทั้ง 3 บริษัท คาดว่าสินค้าบางตัวจะแล้วเสร็จภายในช่วงปลายปี 2565 อาทิ กระบอกทำความชื้นออกซิเจน (Oxygen Bottle) ซึ่งปัจจุบันยังใช้วิธีการล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเพื่อใช้ซ้ำ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงและมีโอกาสติดเชื้อ ดังนั้นบริษัทมองที่จะผลิตเป็นแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single use) รวมทั้งอุปกรณ์สำหรับฟอกไต เป็นต้น ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวเบื้องต้นอาจจะเป็นการจ้างผลิต และจะร่วมมือแบบเทรดดิ้ง ส่วนจะจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (JV) เพื่อก่อสร้างโรงงานและลงทุนเครื่องจักรหรือไม่นั้น จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อน
ขณะเดียวกัน กรอบ MOU นอกจากจะพัฒนาสินค้าด้วยตัวเองแล้ว ยังจะมีการศึกษาและมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ เพื่อที่จะนำองค์ความรู้ต่างๆ เข้ามาช่วยในการสนับสนุนและเร่งรัดการพัฒนานวัตกรรมไปพร้อมๆ กันด้วย ดังนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยต่อยอดและพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ สู่ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากพลาสติกในกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองที่มีประสิทธิภาพและได้ตามมาตรฐานสากล
นายสมเกียรติ เลิศฤทธิ์ภูวดล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์แผนและพัฒนาธุรกิจองค์กร IRPC กล่าวว่า ทิศทางตลาดเครื่องมือและวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์มีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการผลิตภัณฑ์กลุ่ม Medical มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ประกอบกับช่วงปี 2565 ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged society) หรือมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ และอีก 9 ปีข้างหน้า ในปี 2574 จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่า 28% ของประชากรทั้งประเทศ
ดังนั้นจะเป็นโอกาสทางการตลาดที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ smart material กลุ่ม Specialty Plastic หรือเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษ สำหรับผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ทางการแพทย์และสาธารณสุข (medical application) Smart Material ที่ได้คิดค้น วิจัย พัฒนาและผลิตเม็ดพลาสติก PP Meltblown วัตถุดิบหลักสำหรับผ้าชั้นกรองหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 และชุดกาวน์ เป็นรายแรกของประเทศ
ความร่วมมือของทั้ง 3 ฝ่ายในครั้งนี้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม และขยายห่วงโซ่อุปทานธุรกิจปิโตรเคมีของ IRPC โดยใช้องค์ความรู้ ประสบการณ์ในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมต่างๆ ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตและสาธารณสุขของคนไทย เพื่อให้ไทยก้าวสู่การเป็น Medical Hub อย่างเต็มรูปแบบ